BumQ

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คนละครึ่งดิ

A : พี่ๆ ไปปากซอยครับ
วินฯ : ได้ครับ
A : เท่าไหร่ครับพี่?
วินฯ : 40 บาทครับ
A : อะนี่ 20 ครับ
วินฯ : 40 นะครับน้อง!
A : อ้าวพี่! นั่งมาด้วยกันก็ออกคนละครึ่งสิพี่ พี่จะนั่งมาฟรีๆได้ไงครับ!!
วินฯ : ....!!?!?!

ไอ้สัด กูว่าแล้ว

เมื่อก่อนนายทองประกอบอาชีพขายหยกขายพลอยครับ
แต่ธุรกิจแกจะเป็นยังไงนั้นผมจำไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่า ภาพของก้อนหินก้อนโตๆ สีเขียวที่วางเรี่ยราดตามมุมบ้านเป็นสิ่งที่คุ้นตาผมมาก
ถ้าใครสังเกต จะเห็นว่าวิชัยคล้องทองไว้เส้นนึง ที่ปลายสร้อยก็มีหยกหนึ่งแท่งที่นายทองยกให้ครับ
เป็นหยกที่นายทองคุยไว้ว่า มันสวยมาก แต่ผมก็ดูรู้อย่างเดียวว่า มันก็สวยดี แต่ไม่รู้มากมายว่า ทางเทคนิคมันสวยยังไง เคยถามนายทองเหมือนกันว่า มันสวยยังไง แกก็ได้แต่ตอบว่า น้ำหยกมันดี มันเขียวสวยดี
ซึ่งก็โอเค สวยก็สวย

เดี๋ยวนี้แกไม่ขายหยกขายพลอยเป็นอาชีพแล้วครับ แต่ว่างๆ แกก็ยังไปเดินเล่นตลาดพลอยอยู่นะ
ซึ่งบางทีผมก็ชอบที่จะตามแกไปด้วย (ผมไม่กล้าบอกแกว่า จริงๆ แล้วผมชอบที่ตามไปด้วย เดี๋ยวจะโดนลากไปทุกวี่ทุกวัน) เวลาไปตลาดพลอยแกก็จะไปนั่งเมาท์กับเพื่อน รอว่าจะมีพม่าสักคนเอาพลอยดิบมาให้ดูรึเปล่า

ซึ่งเวลาเค้ามาพลอยดิบมาให้ดูเนี่ย เค้าไม่ได้เอามาให้ดูทีละเม็ดๆ นะครับ
เค้ามาให้ดูกันเป็นถาด ถาดหนึ่งมีจะร่วมร้อยเม็ดได้มั้ง
คือพลอยสีๆ เนี่ย มันเรี่ยราดเยอะพอๆ กับลูกเกดตากแห้งอะครับ
นายทองก็จะเขี่ยๆ ไอ้พลอยดิบไปมา หยิบเอาขึ้นมาดูบ้างเป็นเม็ดๆ แล้วก็ขอซื้อ
บางทีก็ซื้อเป็นเม็ดๆ บางทีก็ซื้อมันยกถาด
แล้วถ้าซื้อมันทั้งถาด พ่ออาจจะต้องการแค่สามเม็ดในถาดเท่านั้น
จากนั้นพ่อก็จะเลือกเอาเม็ดที่เข้าตาแก เอาไปให้ช่างพลอยพม่าเจียให้สวย
แล้วเอาไปใส่แหวน แล้วแกก็ใส่เอง...
ใส่แล้วแกก็เอาไปอวดคนอื่น พอมีคนสนใจ แกก็ทำทีตีฟองปาทังก้านิดหน่อย แล้วทำราคาก่อนขายทิ้งเอากำไร
เดี๋ยวนี้ แกทำไม่บ่อยครับ นานๆ ที
และด้วยความที่แกเป็นพ่อค้าหยก พ่อค้าพลอยมาก่อนก็จะมีคนเอาหยก เอาพลอยมาให้แกดูบ่อยๆ ว่าเม็ดนี้งามมั้ย เม็ดนี้จริงรึเปล่า ปลอมมั้ย ทุกครั้งนายทองก็จะปฎิเสธอย่างละมุนละม่อมว่า ไม่ขอตอบ จนไปถึงตอบไปง่ายๆ ได้ใจความว่า "กูไม่รู้"

นายทองบอกว่า เราไม่อาจจะบอกว่าพลอยเม็ดไหนสวยหรือไม่สวย จริงหรือไม่จริง เพราะมันอาจจะขี้เหร่ในสายตาแต่สวยในสายตาคนอื่นก็ได้ บางเม็ดอาจจะเป็นของจริง แต่ถ้าเราดูเป็นของปลอม เสียหมาอีก
ทั้งหมดแล้ว...มีแต่เสียกับเสมอตัว
เพราะงั้นก็อย่าไปพูดมันซะเลยจะดีกว่า

ตอนนี้ขอแนะนำเพื่อนผมคนนึง มันชื่อนัทครับ
นัทเป็นชายไทยรูปร่างสันทัด หน้าตาจัดว่าธรรมดา (ถึงมันจะเคยพูดว่ามันหน้าตาดีก็ตาม...)
แต่สำหรับผม ผมถือว่าไอ้นัทจัดอยู่ในประเภท คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง
คืออีนัทเนี่ย มันคงจะเอาสาริกาลิ้นทองละลายน้ำบ้วนปากก่อนนอนถึงวันครับ
เพราะมันพูดเก่งชิบหาย ถ้ามันขายแอมเวย์ก็คงจะเป็นมงกฏเพชร มงกฎไทเทเนี่ยมได้ไม่ยาก
และที่สำคัญ เพื่อนนัท เป็นคนที่ต้องการความรักตลอดเวลา
พูดให้ดูดีคือ มันเป็นคนขี้เหงา
พูดแบบ...ดูไม่ค่อยดีคือ มันเจ้าชู้

นอกจากเพื่อนนัทเป็นคนที่เจ้าชู้แล้ว เพื่อนนัทยังเป็นมิตรแท้ของความซวย
คือมันเป็นโรคซวยซ้ำซ้อน ซวยเป็นเมดเล่ย์ ซวยแบบความซวยไหล่บ่า
เช่นซื้อรถใหม่มา ไม่ทันข้ามอาทิตย์ก็โดนเค้าถอยมาเฉี่ยว
อาทิตย์ที่สอง รถโดนทุบขโมย laptop ที่เพิ่งถอยมาใหม่
และในวันเดียวกันที่รถโดนทุบนั้น น้องชายหรือญาติต่างจังหวัดโดนขโมยมอเตอร์ไซค์อีก

ในโรงแรมนั้นเพื่อนนัทมีหน้าที่เป็น butler หรือ พนักงานต้นห้อง ที่คอยดูแลเทคแคร์แขกวีไอพี
ทำให้นัทต้องดูแลรายละเอียดทุกอย่างของแขก ไล่มาตั้งแต่ทีวี ตู้เซฟ ผ้าม่าน ประตูห้อง ฯลฯ
และที่พูดไล่มาทั้งหมดนั้น...เพื่อนนัทได้ทำชิบหายมาหมดแล้วครับ
ประตูห้องอยู่ดีๆ ก็เสือกเปิดไม่ได้ซะงั้น
ตู้เซฟเสีย เปิดไม่ได้ เปลี่ยนถ่านแล้วก็ยังเปิดไม่ได้
ผ้าม่านที่ร้อยวันพันปีไม่เคยมีปัญหา อีนพจับทีเดียว เปิดไม่ได้
ทีวี ที่ตั้งอยู่ตรงนั้นมาชั่วนาตาปี อยู่ดีๆ ก็ pixel เสีย ต้องส่งศูนย์ซะงั้น
ว่ากันว่า ความซวยที่มาประทับบนบ่ามันอย่างไม่บันยะบันยังนั้นเป็นกรรมมาจากการที่มันเจ้าชู้มาก
และก็ยังว่ากันต่อว่า ที่เพื่อนนัทกินเจอย่างเคร่งครัดนั้นก็เป็นการชำระล้างความซวยไม่ให้มันหล่นมาเยอะจนเกินไป...
วันนึง...

วิชัยกินข้าวอยู่ในโรงอาหารก็ได้ยินเพื่อนนัทพูดอยู่กับแม่ครัว
เพื่อนนัท: พี่ครับผัดเต้าหู้ล่ะครับ
แม่ครัว: หมด...
เพื่อนนัท: แล้วอาหารเจอย่างอื่นละครับ
แม่ครัว: หมดแล้ว
เพื่อนนัท: อ้าวหมดได้ไง เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย
แม่ครัว: ก็นึกว่า ไม่มีใครกินแล้ว เลยเททิ้ง
เพื่อนนัท: -*-เอ๊า เอ๊า งั้นกินข้าวกับซีอิ๊วก็ได้ พี่ครับขอซีอิ๊วขาวหน่อยครับ
........
.......
......
เพื่อนนัท: อ้าวเหี้ย! ชิบหาย! ซีอิ้วหกอีก โอ้วจีซัส!
ก็บอกแล้วว่า ไอ้นัทแม่งโคตรซวย
แล้วอย่าคิดว่า วิชัยใช้คำว่า โอ้วจีซัส เอาตลกนะครับ เพราะนี่เป็นคนอุทานจริงๆ ของเพื่อนนพ
เพื่อนนัทอุทานว่า โอ้วจีซัส จริงๆ ได้ยินแรกๆ นึกว่า มันกระแดะ แต่หลังๆ มา มึงจะกระแดะอะไรได้เป็นเดือนๆ วะ
ความซวยชำรุดของนัทไม่จำกัดเฉพาะสิ่งของเครื่องใช้และซีอิ๊วขาวนะครับ
แขกของมันก็ชำรุดเหมือนกัน...
butler ในโรงแรมจะมีอยู่ประมาณ สามคน
โดยแ่ต่ละคนก็จะมีประแภทแขกที่ดูแลชัดเจน เรียกได้ว่า butler แต่ละคนจะดูแขกแต่ละกลุ่มเลย
เช่นพี่เก่ง ก็จะดูแขกประเภท มีอายุนิดนึง มาเป็นคู่เงียบๆ หรือไม่ก็ดูพวกสุลต่าน
ไอ้ชัย ก็จะดูแขกวีไอพีมากๆ พวกแขกที่มีรายละเอียดเยอะๆ
ส่วนเพื่อนนัทก็จะดูแขกพวก...ไรดีละ...แขกแบบนัทๆ อะครับ แขกพวกควงหญิงมาออกรบคืนละสามคน แขกพวกที่มาเป็นกลุ่ม กินเหล้าเสียงดัง เที่ยวกลางคืน หิ้วหญิง ไม่ก็มาสำรวจอ่าง ไม่ก็เมาทั้งวันทั้งคืน
คือ...นั่นแหละ แขกแบบ นัทๆ
เคยมีแขกนัทคนนึง รวยมาก! รวยมหาศาล โคตรพ่อโคตรแม่รวย ถือโทรศัพท์ Vertu สองเครื่อง ให้ทิปทีละ US100 เสียอย่างเดียว...ชอบเมาแล้วยืนเยี่ยวตรงหัวบันไดในห้อง พอเยี่ยวเสร็จก็นอนตรงนั้นเลย ตรงกองเยี่ยวนั่นแหละ...ลำบากเพื่อนนัทต้องเช็ดเยี่ยวและแบกแขกตัวเท่าควายขึ้นห้องนอน
จนหลังๆ เราเริ่มมีความเชื่อว่า...จริงๆ แล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ห้อง หรือที่ทีวีเสีย หรือที่แขกวุ่นวายหรอกปัญหามันอยู่ที่ไอ้เชี่ยนัทนั่นแหละ มันเป็นกลุ่มเมฆแห่งความซวยที่ไม่ว่าเคลื่อนไปทางไหนก็ทำให้ทุกอย่างเปียกโชกไปด้วยความซวย

แต่เรื่องสาวๆ นั้นเพื่อนนัทจัดได้ว่าเป็นมือวางอันดับต้นๆ ของลีคครับ...
จัดได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ฝึกปรือฝีมืออยู่เป็นประจำ
โดยที่เพื่อนนัทจะมีคู่หูคือ ไอ้ใหญ่
ทั้งคู่มักจะไปตะลุยอาหรับแดนราตรีด้วยกันบ่อยๆ เป็นที่รู้กันว่า ถ้าไอ้นัทยืนคุยกับไอ้ใหญ่เมื่อไหร่ เป็นอันรู้กันว่า มันทั้งคู่กำลังวางแผนกันว่า คืนนี้จะไปไหนกันดี...
มีอยู่ช่วงนึงที่เพื่อนนัทและเพื่อนใหญ่หลงใหลได้ปลื้มกับน้องแนน
ซื่งไอ้ช่วงนั้นเนี่ย พวกเราแทบจะเป็นเพื่อนกับน้องแนนไปด้วย เพราะได้ยินชื่อน้องแนนบ่อยมากถึงมากที่สุด
แต่แล้วประมาณอาทิตย์ต่อมา ชื่อน้องแนนก็สาบสูญไปจากสุริยะจักรวาล
เหมือนโดนดูดหายไปในชักโครก
เป็นไปได้ว่า ภารกิจปีนเขาเอเวอร์เรสต์ได้ประสบความสำเร็จแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงพักผ่อนก่อนมองหาความท้าทายครั้งต่อไป
วิชัย: เฮ้ย น้องแนนเป็นไงบ้างวะ
นัท+ใหญ่: เรียบร้อย แสรด
วิชัย: จริงเรอะ เป็นไงบ้างวะ
นัท: หึหึหึ
ใหญ่: เรียบร้อย แสรด
นัท: หึหึหึ ให้ไอ้ใหญ่เล่าดีกว่า
ใหญ่: วันนั้นเนี่ย กูก็ไปกับไอ้นัท ก็เหมือนเดิม เสียสองพัน แก้มไม่ได้หอม
วิชัย: อ้าว ไอ้เหี้ย กูก็เห็นว่า ไปกันจัง นี่มึงยังไม่ได้คืบหน้าเลยนี่หว่า
ใหญ่: ไอ้แสรด กูก็ว่าคืนนี้แหละ กูจะยกทัพตะเบงชะเวตี้บุกเมืองเข้าทุบหม้อข้าว
วิชัย: อืม แล้วไง
ใหญ่: กูก็ชวนไปต่อข้างนอก ซึ่งน้องเค้าก็ตามมาด้วยเป็นครั้งแรก
วิชัย: เจ้ด แน่ว่ะ แล้วไงต่อวะ
ใหญ่: น้องเค้าปวดฉี่ กูก็เลยแวะปั๊มหน่อย...แล้วที่เหลือให้ไอ้เหี้ยนัทเล่าต่อละกัน
นัท: ไอ้เหี้ย...แม่งอยู่ดีๆ กูเสือกเอามือไปล้วงกระเป๋าตังค์น้องเค้าเว้ย
วิชัย: แล้วไง...
นัท: ...
ใหญ่: สัดหมา! น้องแนนชื่อ ศุภกิจ!
.......
นัท: เฮ้ย มึง คำว่า นาย เนี่ย ย.ยักษ์ก็ไม่ชัดนะมึง
ใหญ่: แล้วน้องเค้าจะชื่อ "นางศุภกิจ" เรอะ ไอ้สัด
นัท: ....
ใหญ่: กูว่าแล้ว....กูน่ะมองหลายทีแล้ว ไอ้เหี้ย...ผู้หญิงอะไรว้า ตีนควายชิบหาย
วิชัย: อ้าว ไอ้เหี้ย...กูก็เห็นพวกมึงเชี่ยวกันจัง เรื่องผู้หญิงเนี่ย แล้วทำไมทีนี้มึงดูไม่ออกวะ
นัท+ใหญ่: .....ไอ้เหี้ย ก็นั่นไง สาด ทำไมดูไม่ออก
ถึงตอนนี้ ผมว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับว่า ดูออกหรือดูไม่ออกหรอกครับ
ความผิดอยู่ที่ไอ้นัทนั่นแหละที่ดักซวยไว้
อย่างว่าแหละครับพลอยแท้พลอยเทียม นักเลงพลอยเองยังไม่ค่อยกล้าที่จะชี้ชัดว่าเม็ดไหนจริงเม็ดไหนเทียม
เมื่อคืนก่อนนี่เอง มีแขกท่านนึงเดินมาหาน้องที่ทำงานด้วยกันตอนกลางคืน
แขกท่านนี้เข้าพักกับเพื่อนอีกคนนึงครับ ห้องเป็นห้องพักแบบเตียงคู่ (สองเตียง)
โดยที่แขกอีกหนึ่งคนไปพาผู้หญิงมาด้วยหนึ่งคน
แต่ที่ไม่ปกติคือ แทนที่ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนเอาบัตรประชาชนมาให้พนักงานฟร้อนท์
กลับเป็นแขกที่เป็นคนขอบัตรประชาชนเอามาให้พนักงาน ทีแรกก็คิดว่าแขกคงทำบ่อยและกลัวว่า ถ้าโดนปล้นปาดตูดชิงทรัพย์ขึ้นมาโรงแรมจะมีหลักฐานในการตามตัว
พนักงานก็รับบัตรประชาชนมาด้วยความยินดี...แต่ว่าแขกไม่ยอมปล่อยบัตรนี่ซิครับ
ไม่ปล่อยไม่ว่า มีการขยิบตาส่งสัญญาณรหัสมอส ปิ้งๆ ปิ้ง
ซึ่งถ้าให้ผมเดาจากคำให้การของน้องอ้อมตอนนั้น...ผมเดาว่าแขกคนที่หยิบบัตรประชาชนมาคงมีความเคลือบแคลงอะไรบางอย่างในการตัดสินใจของเพื่อน...ทำนองว่า เพื่อนเราคืนนี้อาจจะดื่มหนักไปนิด น้ำในหูเกิดไม่เท่ากัน ทำให้เกินผดฝ้าในดวงตาไปจนถึงทำให้การตัดสินใจอะไรบางอย่างเกิดความ...คลาดเคลื่อนได้
..ก็เลยอยากให้น้องอ้อม...ส่งกล้องพิสูจน์พลอยให้หน่อย



ต่อไปนี้เป็นหนังใบ้ที่มีการสื่อสารกันอย่างมีพิรุธ
โดยที่มีเพื่อนอีกคนที่พร้อมรอเตะลูกฟรีคิกส์นอกเขตโทษอย่างใจจดใจจ่อ

แขก:
น้องอ้อม:
แขก:
แขก:
น้องอ้อม:
แขก:
น้องอ้อม: .....
แขก:.....
น้องอ้อม:.....
แขก:....

แต่การเจรจาใบ้อย่างมีพิรุธก็ต้องยุติลงเพราะ...

เพื่อนศูนย์หน้ารอปั่นฟรีคิกส์:

หลังจากไม่รู้เกิดอะไรขึ้น...แต่คาดว่ามันก็น่าจะเป็นอะไรทำนองนี้....
หนึ่งคนก็คงจะ... ซูมมมมม!!! ลูกเตะไดร์ฟคิกส์!!!!
โดยที่อีกคนคงจะกำลัง...
เรื่องมันก็น่าจะจบลงแค่ตรงนี้ แต่ว่าความสงสัยมันเคยปราณีใครที่ไหนละ
อีเพื่อนแขกก็คงจะไม่สบายใจเท่าไหร่ที่เห็นเพื่อนยกซดซุปสาหร่ายจีนแดงปลอมไม่ได้
ก็เลยต้องลงข้างล่างเพื่อนถามหาความจริงเรื่องเด่นคืนนี้กับ...สุดวิชัย ขุ่น
น้องอ้อม: พี่แว่นคะ แขกมีอะไรถามอะคะ
วิชัย: ถามไรอะ
น้องอ้อม: แขกเค้าอยากรู้ว่า...ผู้หญิงที่เค้าพาเมื่อกี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
วิชัย:
คือไอ้น้องอ้อมมันทำหน้าราบเรียบประหนึ่งเดินมาถามผมว่า
"แขกเค้าอยากรู้ว่า ผ้าพันคอที่ซื้อมาเป็นผ้าไหมรึเปล่า"
งานเข้ากูอีก...
แขก: ยูว์ ชั้นอยากรู้ว่า คนๆ นี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
ดูจากบัตรประชาชนแล้ว...ไม่ต้องถึงระดับ สุดวิชัย ขุ่น มาวิเคราะห์หรอกครับ
ฟันธงก็ยังน้อยไป...เอาอ้อยมาไร่นึงให้ไล่ฟันเลยดีกว่า...
ไอ้เพื่อนข้างบน...มันกำลังปั่นฟรีคิกส์บนหญ้าเทียมอยู่นี่เอง

หันไปมองอ้อมเป็นสัญญาณว่า..."ไปไกลๆ หน่อยดิ๊...ผู้ชายจะคุยกัน"

น้องอ้อม >>>

อ้อมครับ...bluetooth เอ็งเสียชัวร์...ไม่สามารถรับส่งสัญญาณไร้สายอะไรสักอย่าง

วิชัย: เอ่ออ ยูว์ ก็นะ เราจะพูดยังไงกันดีละ คือแบบว่ายูว์ก็ไปเลือกกันมาเองนี่เนอะ
แขก: ชั้นรู้ แต่ชั้นแค่อยากรู้ว่า คนเนี้ยผู้หญิงหรือผู้ชาย
วิชัย: อ่านะ...แบบว่าอืม ยูว์โนว์

แขก:
วิชัย: คือมันไม่ใช่สิ่งที่ไอควรจะพูดอะ แบบว่าทุกคนก็ทำงานทำการเหมือนๆ กันอะเนอะ
แขก: แต่ชั้นอยากรู้ว่าเค้าเป็นหญิงหรือชาย
วิชัย: อ่า เออ
แขก: ....
วิชัย: physically female but legally male
แขก:
แขกทำหน้าทำตาที่เป็นใครเดินผ่านมาก็สามารถแปลงสารได้ว่า "...ไอ้สัด กูว่าแล้ว"

ช่างเป็นเพื่อนที่น่าสรรเสริญนะครับ ลงมาถามหาความจริงให้กับเพื่อน
ถึงแม้ความจริงมันจะเต็มไปด้วยซิลิโคนก็ตาม
เฮ้อ...ในขณะที่เพื่อนหนึ่งคนโดนก้อนซิลิโคนแห่งความจริงถล่มลงมาบนบ่า เพื่อนอีกคนก็คงจะ...



ไม่น่า เสียดายเลย

โดยส่วนตัวผมเป็นคนไม่สรรหาของหวานพวกเค้กอะไรมากินเท่าไหร่
ผมคิดว่าเค้กอร่อยๆ หนึ่งก้อนมันแพงเกินไปว่ะ (แต่ก็ไม่ได้จะบอกว่าตัวผมเองเป็นประหยัดอดออมมาดแมนรู้จักลงทุนมาดแมนชื่นชอบชีวิตกลางแจ้งอะไรนะ)
เอาเป็นเค้กอร่อยๆ หนึ่งก้อนมันแพงไปสำหรับผมเท่านั้นเอง
และสำหรับผม ขนมเค้กมีความหมายคล้ายๆ กับขนมไหว้พระจันทร์
คือ ควรจะกินในช่วงเวลาพิเศษ เช่นวันเกิด
และผม ไม่ชอบกินเค้กช็อคโกแลต...
เอ่อ..อย่าว่าผมงี่เง่านะ ผมคิดว่าเค้กที่ดีควรเป็นสีขาว สีครีมอะ
คล้ายๆ ภาพจำว่าแอปเปิ้ลต้องสีขาวอะไรประมาณนั้น


วันเกิดปีนี้ผมไม่ได้กินเค้ก
ปีที่แล้วก็ไม่ได้กินเค้ก
ส่วนปีก่อนหน้านั้นได้กินเค้กรึเปล่า จำไม่ได้แล้ว
ผมจำเค้กวันเกิดได้ไม่กี่ก้อนนะ
มีหนึ่งก้อนที่ผมจำได้...
คืนนั้นตอนที่อยู่ภูเก็ต ผมออกเวรรอบบ่ายตอนห้าทุ่มกว่าในคืนวันเกิด แล้วจากที่ไม่ค่อยจะอะไรกับเค้กวันเกิด จู่ๆ ผมก็อยากจะกินเค้กในวันเกิดตัวเองซะงั้น แล้วก็เสือกจะแพ้ท้องเค้กวันเกิดเอาตอนเกือบเที่ยงคืน
...มันก็ช่วยไม่ได้ ผมขับมอเตอร์ไซค์ออกมาเซเว่นตรงเชิงทะเล ("เชิงทะเล" คือชื่ออำเภอน่ะครับ)
ซื้อเ้ค้กหนึ่งก้อนในราคา สามสิบบาท
ออกมานั่นกินอยู่คนเดียวเงียบๆ คนเดียวตรงร้านก๋วยเตี๊ยวแถวๆ นั้น (ที่ปิดไปแล้ว)
เป็นเค้กที่รสชาติไม่ได้เรื่อง...แต่ชุ่มคอมาก
ผมได้เค้กก้อนต่อๆ มากับมยุรีที่เสม็ด เป็นเค้กหนึ่งซีก รสชาติโอเคแต่ชื่นใจ

อีกครั้งที่ผมกินเค้กคือที่ central world ที่่ผมจำชื่อร้านไม่ได้
จำได้แค่ว่าเค้กแม่งแพงชิบเป๋ง แต่ก็อร่อยน้ำตาอาบแก้มเ่ช่นกัน
เสียดายที่ผมไม่ได้เกิดวันนั้น ไม่งั้นจะเป็นอะไรที่ยอดมาก
และอีกครั้ง...ที่จู่ๆ ผมก็อยากกินเค้กอร่อยๆ แบบที่เคยกินที่ central world
มยุรีก็เลยพาไปกินอีกที่ ที่ siam paragon แต่สั่งผิดครับ...
อยากกินเค้กที่ใส่ถั่ว แต่ดันได้เค้กกล้วยหอม
รสชาติโอเคนะ แต่อยากกินเค้กเค้กที่ใส่ถั่วมากกว่า
จะสั่งก้อนที่สองก็เสือกงกเสียดายเงินซะงั้น
ก็เลยกลับบ้านแบบเศร้าๆ
ที่โรงแรมที่ผมเคยทำ จะมีธรรมเนียมน่ารักก็คือ จะซื้อเค้กมาเลี้ยงให้กับพนักงานคนที่ลาออก
และไม่รู้เป็นอะไร เพราะขัดใจชอบซื้อเค้กช้อคโกแลตมาตลอด จนก้อนสุดท้ายที่ผมกิน...
ดีใจที่ได้กินเค้กก้อนนั้นในวันนั้นครับ
ผมเปลี่ยนจากงานโรงแรมมาทำโฆษณามาได้จะครบสองเดือนแล้วครับ เป็นสองเดือนแรกที่หนักหนามาก การปรับตัวจากสายงานที่เคยทำมาทั้งชีวิตมาเป็นอีกงานที่ไม่เคยทำเลย
มันเหมือนเราไปนอกโลกนะครับ
เจอโลกที่พระอาทิตย์หมุนเร็วกว่าเดิม เจอโลกที่แรงโน้มถ่วงไม่เท่าโลกเดิม...
และยังต้องมาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับมนุษย์ต่างดาว ต้องมาเรียนภาษามนุษย์ต่างดาวอีก
นี่คือสองเดือนบนโลกใบใหม่ที่สนุก ท้าทายมาก
แต่แล้วเมื่อเช้าวันนึงประมาณอาทิตย์ที่แล้ว...
ผมเกิดเสียดายเค้กที่เคยผมได้กินมา ความรู้สึกที่ห่วยมาก
"นี่กูทำเหี้ยอะไรวะเนี่ย"
ไม่ได้เสียดายเงินที่ซื้อมา แต่รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เอนจอยเค้กเหล่านั้นให้มันเต็มก้อนกว่านี้
ผมรู้สึกอยากกลับไปเวลานั้นใหม่ แล้วค่อยๆ กินเค้กทีละคำ มีความสุขกับเค้กทีละคำให้นานกว่านี้
มีความสุขกับเวลามากกว่านี้ และไปตบกบาลตัวเองที่คอยบ่นว่าเค้กราคาแพง
แต่ถ้าผมย้อนเวลากลับไปกินเค้กได้จริง ผมก็คงจะพ่วงด้วยการกลับไปซื้อหวยสักสองงวดด้วยแน่ๆ (ฮา)
เรื่องผ่านมาแล้วก็ได้แต่เสียใจเสียดายและตั้งหน้าตั้งตารอถึงโอกาสที่จะได้กินเค้กอีกสักก้อน
เค้กสักก้อน มันมักจะมาแบบไม่เลือกรสชาติและเวลาจริงๆ
บางคนอาจจะมีเค้กกินบ่อยๆ แต่บางคนอาจจะไม่
แต่เมื่อไหร่ที่มีเค้กมาให้กิน จงมีความสุขกับมัน
ไม่ต้องกลัวว่ากินแล้วจะอ้วน ไม่ต้องกินแต่ครีม ไม่ต้องกินแต่แป้ง
กินให้เต็มก้อน กินให้เต็มคำ จะได้ไม่เสียใจเวลาที่อยากกินเค้ก แล้วหากินไม่ได้
อย่าเสียดายเงินที่จะซื้อเค้ก อย่าเสียดาย
เพราะหน่วยของเวลาของมนุษย์เรา มันไม่ใช่หนึ่งวัน สองวันนะครับ
มันคือหน่วยปี...และแต่ละปีนั้น...มันเดินเร็วมาก
ถ้ามีเค้กสักก้อน อร่อยกับมันครับ
อย่าใช้ชีวิตกับความเสียดายครับ

คำบอกเล่า

เมื่อวานขึ้นรถไฟฟ้าไปทำธุระที่เซ็นทรัลเวิร์ลมาครับ
ผมยืนอยู่ข้างๆ เด็กนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง วิชัยก็เลยได้ยินบทสนทนาเข้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
น้องคนนึงในกลุ่มบ่นๆ ให้เพื่อนคนอื่นฟังว่า เมื่อคืนไอ้แนทมันโทรหาแฟนมัน เพราะเป็นวันครบรอบ 5 ปีของการเป็นแฟนกัน
5 ปี...
ดูๆ แล้วยังไงๆ น้องก็ไม่เกิน ม.6 นั่นแปลว่า น้องคนนั้นมีแฟนเป็นของตัวเองตั้งแต่ ม. 1 หรือ ป.6

ได้ฟังแล้วบอกตรงๆ แบบไม่อายว่าผมไม่รู้แล้วจริงๆ ว่ะ ว่าเด็กสมัยนี้มีแฟนกันตอนกี่ขวบ
แต่ผมสงสัยอย่างเดียวคำว่าแฟนของน้องมันมีความหมายถึงตรงไหน คำว่ารักกัน...มันมีขอบเขตแค่ไหน
ผมไม่ได้จะบอกว่า เด็กอายุแค่นี้มันจะรู้เรื่องอาไร้ ซึ่งเด็กมันอาจจะรู้จริงๆ ก็ได้นะ
แต่ถ้ามันไม่ได้ลงเอยอย่างที่ควรจะเป็น อย่างในละครเกาหลีโลกนี้สวยงามหิมะตก อย่างในหนังรักโรแมนติกล่ะ
จากที่เคยเห็นมา คู่รักในมัธยมจะเป็นรักที่จะจบลงตอนเข้ามหาลัย มันเป็นรักที่สั้นมาก
แต่เราจะลืมมันยากที่สุด...ถึงตรงนี้มันก็เป็นกรรมของแต่ละคนแล้วว่า...จะเราจะจดจำจบกันแบบไหน

ถ้าความรักคือการเข้าใจกันและกัน...
ก่อนที่เราเข้าใจคนอื่น
เราเข้าใจตัวเองดีแค่ไหนแล้ว
ผมเชื่อนะ ว่าแต่ละคนมีต้นทุนชีวิตที่ไม่เท่ากัน และนั่นทำให้แต่ละคนมีกำไรชีวิตที่ไม่เท่ากันเช่นกัน
นี่แหละมั้งที่เค้าเรียกว่าบุญกรรม... แต่ผมไม่ได้หมายความว่า กำไรชีวิตของทุกคนต้องเท่ากัน
วิชัยครั้งหนึ่งได้ออกหนังสือซึ่งนั่นคงเป็นกำไรชีวิตของผม ที่ไม่เท่ากับหลายคน
แต่ในมุมกลับกัน หลายๆ คนได้ทำให้สิ่งที่วิชัยอิจฉา อยากทำ...
นั่นแหละครับ กำไรชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเหมือนกัน
แล้วต้นทุนชีวิต มันมาจากไหน?
มันก็มาจากพ่อ จากแม่ จากครอบครัว จากสิ่งแวดล้อม
บางคนดีมากบ้านรวย พ่อแม่เข้าใจ ครอบครัวอบอุ่น เครือญาติสนิท
ส่งเสียให้เรียนดีๆ สร้างรากฐานที่ดี
แต่บางคนก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น
อย่างที่บอกแหละต้นทุนชีวิตมันไม่เท่ากัน
และต้นทุนชีวิตที่พ่อแม่พยายามทำให้กับเราทั้งหมด มันคงจะถูกเริ่มใช้ตอนที่เรา...เริ่มคิดว่า
"ชีวิตนี้เป็นของเรา เราโตแล้ว"

ชีวิตวัยรุ่นก็เหมือนเล่นพนันครับ...
บางคนเล่นหนัก...เสียหมดตัวเป็นหนี้เป็นสิน
บางคนเล่นอย่างเข้าใจ ต่อต้นทุนให้ตัวเอง ได้กำไร
พ่อแม่คงไม่ได้หวังให้เรามีกำไรชีวิตเป็นกอบเป็นกำหรอกมั้ง
ขอแค่เราไม่ขาดทุนก็พอ...

ของขวัญจับรางวัล ปวดตับ

ช่วงปีใหม่แบบนี้ คิดว่าหลายคนคงจะมีปัญหาอะไรบางอย่างที่เหมือนๆ กัน
นั่นก็คือ...ของขวัญจับรางวัล
ของขวัญจับรางวัลเป็นอะไรที่ปวดตับระดับหนึ่งในการเข้าไปจัดการดูแลเทคแคร์กับมัน
ปวดตับยังไง?
เอ๊า! ปีใหม่เท่ากับสิ้นปี สิ้นปีเท่ากับสิ้นใจ
บางออฟฟิศก็ราคา 300 บาท
บางทีไฮโซว์หน่อยก็ราคา 500 บาท
ตังค์จะแดกยังจะไม่มี เสือกทะลึ่งต้องมาซื้อของขวัญมาจับรางวัลกันอี๊ก!!
แล้วที่ปวดตับจริงๆ คืออะไรรู้มั้ยครับ
เราจะซื้ออะไรดีล่ะ?
นี่คือความปวดตับในระดับเดียวกับคำถามที่ว่า เย็นนี้จะกินอะไรดี แต่นี่จะมาบรรจบทุกๆ หนึ่งปี เพราะฉนั้นระดับความกดดันจะมากกว่าหลายเท่าตัว นี่คือความกดดันที่เหมือนกับปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด คือมันมีอยู่จริง แต่เราไม่รู้สึก จนกว่าจะมีคนมาบอกเรา
วันนี้สุดวิชัยขุ่นได้ทำการวิจัยแล้วค้นพบความจริงที่น่าสะพรึง 1 ข้อ นั่นก็คือ...
เหตุที่เรากดดันในการซื้อของขวัญจับรางวัลปีใหม่เพราะ...ของรางวัลเหล่านั้นมันสะท้อนรสนิยมของเรา!
ที่เรากดดันเพราะเรากลัวคนอื่นประณาม!
และเพราะแรงกดดันแบบนี้แหละ มันก็เลยทำให้การจับฉลากของขวัญปีใหม่ทุกครั้งจะต้องมีสิ่งสิ้นคิดเหล่านี้เสมอ
ผ้าขนหนู
ที่แม่งต้องมาในกล่องใหญ่ๆ ที่แบ่งเป็นหลุมๆ เรียบร้อย มีผ้าขนหนูขนาดต่างๆ ที่จะต้องมีลายปักอะไรสักอย่าง
อนึ่งผ้าขนหนูเหล่านี้นั้น จะแสดงความไฮไซว์ได้มากที่สุดก็ตอนที่อยู่ในกล่อง
แค่มันหลุดออกจากหลุมแค่นั้นแหละ เราก็จะค้นพบว่ามันไม่ได้มีห่าอะไรเลยนี่หว่า ซับน้ำก็ไม่ดี
จะพูดกันอีกนัย มันเหมาะที่จะเป็นของขวัญจริงๆ ไม่เหมาะที่จะเอามาใช้งาน
กรอบรูป
คาดว่า...นี่คงเป็นของขวัญจับฉลากกันมาตั้งแต่ปีที่สองที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ครับ
สิ้นคิดมากมายมหาศาลลองกองสุดยอดคอดๆ!
ลองคิดดูซิครับ มีของขวัญกองอยู่หนึ่งพะเนิน 50% ในนั้นคือกรอบรูป
แค่นึก...ก็เหี่ยวแล้วครับ
ชุดถ้วยชา
เปรียบไปก็เหมือนชุดสังฆทานโลตัสครับ ห่วยมาก
ผมเคยได้ทั้งชุดผ้าขนหนู และชุดถ้วยชามาแล้วครับ
ขอยืนยันตรงนี้เลยว่า อะไรที่เป็นชุด...จัดว่าโคตรห่วยครับ
เพราะมันคือของขวัญครับ แต่ไ่ม่ใช่ของใช้
โคมไฟตั้งโต๊ะ
พวกโคมไฟที่ทำหน้าที่ตัวเองเพียงพอคือ เหมือนจะสว่างแ่ต่ไม่สว่าง
จะด่ามันก็ไม่ได้ เพราะมันก็มีแสงออกจากตัวมันแล้ว
ตอนอยู่โรงแรมภูเก็ต เคยมีรุ่นพี่หาซื้อโคมไฟมาจับฉลาก
แต่สงสัยพี่แกรีบไปหน่อย ก็เลยได้แต่โคมไฟแปะผนัก ที่เป็นไม้ๆ สไตล์บังกะโลเสม็ดชอบใช้น่ะครับ
ไม่ต้องบอกว่า คนที่ได้โคมไฟอันนั้นจะรู้สึกยังไง
"เหี้ย! นี่กูต้องสร้างบ้านใหม่สไตล์ล้านนาเพื่อให้เข้ากับโคมไฟมึงรึเปล่าวะ"
นาฬิกาปลุก
อันนี้ก็จัดว่าสิ้นคิดเหมือนกันนะ
ทุกปีจะต้องมีนาฬิกาปลุก และมันก็นาฬิกาปลุกกันมาตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว จนบัดนาวก็ยังปลุกกันอยู่
มายุคหลังๆ มีอะไรบางอย่างที่มันมากกว่านั้นแล้ว...Gift voucher!
คือก็รู้ว่ามันมีราคาค่างวดเหมือนกัน แต่ผมก็แอบน้อยใจนะครับ ที่เวลาจับรางวัลกัน คนอื่นได้อะไรที่เป็นกล่องๆ ของๆ เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วอะไร..เราได้ซองจดหมายหนึ่งซอง...เศร้านะ
แล้วจะต้องซื้ออะไรที่ไม่สิ้นคิด?
เท่าที่ผมคุยกับมยุรีวันนี้ตอนออกไปซื้อของขวัญ ค้นพบว่าคนเรา mind set ไว้แล้วว่า "ของขวัญ" จะต้องประมาณนี้เท่านั้น ห้ามซื้ออะไรที่มันนอกเหนือจากนี้ ไม่งั้นจะถือว่าผิดศีลอย่างร้ายแรง
ทุกคนต้องการของขวัญในราคาที่ตั้งไว้
ต้องการสิ่งนั้นให้ดูดีที่สุด
แต่ต้องไม่แหวก
ถึงจะแหวกก็ต้องดูดี
วันนี้วิชัยอยากเสนออะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้การซื้อของขวัญคราวหน้าเป็นอะไรที่ปวดตับน้อยลง
ผมตั้งราคาของไว้ที่ 300 บาทนะครับ (บางออฟฟิศอาจจะ 500 บาท)
- เดินเข้าโลตัส ไปที่แผนกยา แล้วซื้อทุกสิ่งทุกอย่างครับ
ยาแดง ยาทาเริม เคาน์เตอร์แพน ยาลดกรด แก้ปวดหัว ปวดท้อง ปวดข้อ เคลือบกระเพาะ
แน่นอนครับซื้ออะไรก็ แต่ต้องไม่ใช่ที่เป็น "ชุด" การซื้อเป็นชุด จัดว่าง่ายไป แสดงถึงความไม่ใส่ใจครับ
เราก็ซื้อไปโลดครับ อะไรใกล้มือหยิบมา ผ้ากง ผ้าก๊อต เทนโซพาส อะไรก็ว่าไป
รับรองครับ...แหวกแนวสุดๆ แถมยังมีประโยชน์ได้ใช้จริงๆ
- เดินเข้าห้างใหญ่ๆ ตรงไปแผนกเครื่องเขียน แล้วจัดการ
ปากกง ปากกา ลิควิดเปเปอร์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือ จัดมาให้เรียบ อย่าให้เหลือ
- หรือถ้าคิดว่ามันไม่แนว อยากได้แบบแนวๆ แบบเอาฮา หรืออยากให้คนอื่นจดจำไปนานๆ
วิชัยก็มีข้อแนะนำครับ แต่ไม่แนะนำให้ซื้อน้ำปลาหนึ่งลังนะครับ ผมลองมาแล้ว...โดนสาปแช่งเลยทีเดียว
น้ำปลาไม่แนะนำครับ ไม่ดี...ชุดสังฆทานก็ไม่แนะนำครับ เชยแล้วครับ
ของขวัญต้องเน้นที่ใช้ได้จริงครับ จัดการซื้อเลยครับ ประแจ
อย่ากระนั้นครับ ประแจ ดีๆ ราคาแพงนะเอา
ประแจ มันดูแย่เหรอครับ
งั้นไขควงก็ได้
หรือ ให้เหมาะ ก็จัดไป กุญแจบ้านยี่ห้อโซโล
หรือสายแจ๊คทีวี
ได้ใช้ประโยชน์แน่ๆ อะ แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ว่ะ
บัตรเติมเงินก็ดีนะครับ
ก็ซื้อๆ ไปเถอะครับ บัตรเติมเงินของอะไรก็ได้ ส่วนคนที่จับได้ เขาจะได้ใช้หรือไม่แล้วแต่วาสนาของเขาแล้วครับ
หรือถ้าคิดไม่ออกจริงๆ...แล้วแบบไม่ทันแล้วจะต้องซื้อแล้ว
ก็ซื้อส้มให้กิโลหนึ่ง ( 30 บาท) แล้วแนบเงินไปอีก 270 ก็ครบ 300 แล้ว
เชื่อโผม ผมทำมาแล้ว ได้ผลดีมาก
พี่คนนั้นแค่เอาส้มไปถวายพระ แล้วขอพรให้ปีหน้าไม่ได้ของผมอีก
เท่านั้นเอ๊ง

ปวดตับ

วันนี้ตอนกินข้าวเหลือบไปเห็นข่าว
หญิงวัย 53 (จำอายุไม่ค่อยได้) โดนรุมกระทืบทวงหนี้...
อืม...อันนี้ไม่รู้ว่าลึกตื้นหนาบางมันเป็นยังไง อาจจะทวงกันมานานแล้ว ไม่ยอมจ่ายสักที
หรือป้ากวนประสาทมาก หรือลูกชายป้าปากดียอกย้อนกวนตีนอันนี้ก็ไม่รู้เพราะไม่ได้อ่านเนื้อข่าว...
แต่ที่ขัดใจคือ...ลูกหนี้หญิงวัย 53 โดนชายร่วม 30 คนกระทืบ...
หญิงวัย 53 เป็นอดีตนักยูโดทีมชาติที่มีประวัติหักคอหมีขั้วโลกด้วยมือเปล่ามาแล้วหรือไง
หรือว่าหญิงวัย 53 เป็นนักมวยปล้ำทีมชาติที่เคยต่อยควายจุกเหรอครับ
การกระทืบคนวัย 53 เนี่ย มันจำเป็นต้องใช้คน 30 คนจริงๆ เหรอ?
ไม่รู้เนื้อข่าวเป็นยังไง แต่ปวดตับขัดใจมาก

อาการปวดตับเลยแทรกซ้อนชวนให้คิดถึงอีกเหตุการณ์นึงที่ได้ดูจากรายการเรื่องจริงผ่านจอเมื่อนานมาแล้ว

เป็นเหตุการณ์ที่มีหญิงไทยใช้กรรไกรพยายามฆ่าตัวตายที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นตอนกลางดึก
แน่นอนครับ เมืองไทยที่มีคนเมายาจี้เด็กบ่อยพอๆ กับรถคว่ำนั่น ต้องมีตำรวจเก่งๆ มากมายอยู่แล้ว
ตำรวจมากมายก็มาเจรจากับหญิงสาวคนดังกล่าว...
แต่รู้สึกว่าไม่ได้ผล จนต้องขอกำลังเสริม...
หน่วยสวาทก็มาถึง...
ใช่ครับ หน่วยสวาท...
ขัดใจมั้ย...ผมขัดใจนะ แต่ก็นั่นแหละ ผมมันแค่คนปากเสียนั่งอยู่บ้านทำจุ้ย...จะไปรู้อะไรละ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริงนี่...
โอเค...นั่นซิ...คนเล่นเป็นหมู คนดูเป็นเซียนนี่
หน่วยสวาทก็แก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาดโดยการใช้ปืนไฟฟ้ายิงไปที่หญิงสาว ให้หมดสติ
คือไอ้ปืนที่ว่ามีลูกดอกและสายไฟอะครับ ยิงไปทิ่มเหยื่อแล้วจะจัดการปล่อยไฟฟ้าให้เหยื่อชาและหมดสติ
หญิงสาวไม่ใช่ปลาวาฬหลังค่อมนี่ โดนไปก็ล้มลงเหมือนต้นมะขามโดนโค่น...
ที่ขัดใจคือตรงนี้....

โอ้โห!!! พระเจ้าซอส!!!
ตำรวจร่วมยี่สิบนายกรูกันเข้าไปหาหญิงสาว เหมือนกำลังเล่นเกมส์ว่าใครแตะตัวก่อนชนะ
วิ่งกันเข้ากดมือแย่งกรรไกร โหวกเหวก....

ขัดใจว่ะ ขัดใจ

ทำไมคนเมายาบ้าเอามีดจี้คอเด็กกลางสลัม เอาตำรวจมา
แต่หญิงสาวเอากรรไกรจี้คอ เอาหน่วยสวาทมา...
ขัดใจว่ะ

อ้อ...ลืมไป...นั่นมันในสลัมนี่ แต่นี่มันสถานทูตญี่ปุ่น...
เค้าทำถูกแล้ว!

สันฝายเทอราพี

ถ้าเอาเรื่องทุกข์ๆ ในชีวิตของมนุษย์มาจัดเป็นทีมฟุตบอลสักหนึ่งทีม ผมว่า ‘อกหัก’ จะต้องได้เป็นศูนย์หน้าตัวเป้าชัวร์ๆ และ อกหัก จะต้องทำประตูคู่แข่งได้บ่อยมากด้วย เพราะคนเราทุกคนในโลกจะต้องเคยอกหัก

ไม่ว่าไอ้คนนั้นจะมีเมนส์ ปวดตับ และเคยเป็นซีสต์ที่แก้มตูดซ้าย หรือสุขภาพแข็งแรงระดับโคแนนแรมโบ้เรียกพ่อ ก็ต้องเคยอกหักกันทั้งนั้น เพลงที่บรรเลงอยู่ในโลก 90 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นเพลงอกหัก ซึ่งแค่นั้นก็มากชิบหายแล้ว แต่เพลงอกหักก็ยังมีคนเขียนออกมาได้เรื่อยๆ เหมือนไม่เคยเพียงพอกับปริมาณคนอกหักบนโลกร้อนๆ ใบนี้

แล้วเราจะป้องกันการอกหักได้อย่างไร? ... อันนี้วิชัยไม่ใช่เง็กเซียนฮ่องเต้ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ


ถ้าความรักคือการมีชีวิต...อกหักก็เหมือนฟันของเราครับ ทุกคนต้องมีประสบการฟันหลุดร่วง อย่างน้อยก็จากฟันน้ำนม บางคนหลุดอย่างนิ่มนวล บางคนฟันค่อยๆ ผุจนต้องทรมานโดนหมอถอนทิ้ง บางคนอักเสบซากอ้อย ทิ้งร่องรอยเป็นฟันแท้ที่ขึ้นใหม่เรียงไม่เป็นระเบียบ โตมาก็หนักหน่อยกับการที่ต้องไปผ่าฟันคุด แค่ต่อนผ่าจัดว่าทุลักทุเลแล้ว ไอ้ตอนที่ผ่าเสร็จนี่สิ ค่ำคืนนั้นช่างยาวนานและเจ็บปวด เหมือนออกซิเจนที่หายใจเข้าไปมีเศษแก้วผสมอยู่ให้เราเจ็บปวดตลอดเวลา บางคนหนักกว่า ฟันผุจนต้องถอนทิ้งแล้วใส่ฟันปลอม!


แล้วเราจะรับมือกับการอกหักร้กงอฟันคุดได้ยังไง?


หึหึหึ...เกริ่นหาทางลงให้เปลืองกระดาษมาตั้งนาน อยากวาดรูปพลุฉลองสักรูป ในที่สุดก็ได้เข้าเรื่องซะที


เราต้องเข้าใจธรรมชาติของการอกหักซะก่อน...อกหักมีหลายคนชื่อให้เรียกขาน ซึ่งไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร หรือติสท์แค่ไหนแต่รวมแล้วแปลได้ใจความแบบหักหาญน้ำใจชาวบ้านประชาชนทั่วไปว่า ‘โดนทิ้ง’ คิดกันแบบลึกๆ ถึงแก่นสาเหตุแล้ว ไอ้อาการ ‘โดนทิ้ง’ นี้มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับทัศนคติไม่ตรงกัน ครอบครัวกีดกัน รักแท้แพ้ระยะทาง รักแท้แพ้รถแดง หรือรักแท้แช่แฟ้บ พอแดกแกลบก็ทิ้งกัน เรื่องทั้งหมดที่บรรยายมาเป็นเปลือกข้ออ้างครับ เป็นหนามแหลมๆ ของเปลือกทุเรียนที่ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่นอกจากเตือนให้เราระวังก่อนจะจับ แต่เนื้อสีเหลืองนวลๆ ที่อยู่ข้างใต้เปลือกหนามคือ ‘เราไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด’


ฟังดูง่ายๆ แต่โหดร้ายใช่มั้ย...ก็เหมือนเนื้อทุเรียนแหละ สีเหลืองนวล แต่ไม่หอม ( หรือบางคนอาจหอม?)


ตอนตกลงปลงใจรักกัน ก็มีเหตุผลเดียวที่ตรงข้ามกับตอนเลิกกัน ก็คือ... ‘เขา/เธอเป็นสิ่งที่ดีที่สุด’ ไม่ว่าจะเป็นคุยกันรู้เรื่อง พี่เค้าอบอุ่นจัง พี่เค้ารวยมาก น้องเค้าน่ารัก น้องเค้าสเปค พี่เค้าสูงเทหล่อ น้องเค้านมใหม่บ้านรวยสวยเอ็กซ์ หรืออะไร ๆ ก็ตาม...อย่างใดอย่างหนึ่ง มันคือสิ่งที่ดีที่สุด


รักกัน รักกัน รักกัน แล้วยังไงต่อ วันหนึ่ง ‘สิ่งที่ดีที่สุด’ ก็มีคำนำหน้าเข้ามาเพิ่มเป็น ‘เคยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด’


เจ้าตัวอกหักจะพับแขนเสื้อเดินเข้ามาในช่วงชีวิตเราแล้วตบบ่าทักทายเราอย่างเป็นกันเอง สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือ ทักทายมันอย่างคุ้นเคย


“อ้าว เหี้ยมึง มาอีกแล้วหรอ ไม่เจอกันตั้งนาน”


ของแบบนี้มันมีสัญญาณครับ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมา “ฮัลโหล ตัวเอง กูทิ้งมึงนะ” ส่วนสังเกตสัญญาณได้ยังไง อันนี้ไม่ทราบได้ แต่เมื่อใดที่เราสงสัยว่า อีนี่แม่งเล่นกูแน่ๆ จงทำตัวให้ปกติสังเกตอาการไปเรื่อยๆ สำรวจตัวเองว่าช่วงนี้เรางี่เง่าไปมั้ย เราตดบ่อยรึเปล่า หรือแฟนเราไปติดพันน้องนมโตต่างคณะใช่มั้ย


สิ่งที่ควรทำคือ...อย่าโวยวาย


“พี่แว่น!! ~ ช่วงนี้พี่แว่นกางเกงในเข้าวินบ่อย พี่จะทิ้งหนูไปใช่ม้ายยย ทำมายยย เมื่อก่อนพี่ไม่เคยแคะกางเกงในแบบนี้ ทามมมมายยยยย”


“ทำไมมือถือไม่มีใครส่ง sms มาเลย...แอบลบไปใช่มั้ย ฮือ...มึงทิ้งกูแหล่ววววว”


อืม...นั้นแหละ ปัญญาอ่อนแบบนี้ กูจะทิ้งมึงซะวันนี้เลยมีสติหน่อยว้อยเฮ้ย!!!


อันที่จริงแล้วสัญญาณต่างๆ มันอาจจะเป็นแค่เราประสาทแดกไปเองก็ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงๆ สิ่งที่จะทำได้คือลองบอกรักให้บ่อยขึ้นสิ “เรารักตัวเองนะ” ซึ่งบางทีคำพูดง่ายๆ มันจะมีอีกความนัยซ่อนอยู่เช่น... “กูรักมึงแบบนี้...ยังกล้าทิ้งกูอีกเหรอ” มันอาจทำอะไรไม่ได้มากหรอก เพราะอันที่จริง อกหักมันไม่ได้เริ่มตรงที่เราเขาเดินมา ขยิบตาโอบเอวเราแล้วพูดว่า เราเลิกกัน ฉันทิ้งเธอ เจอคนใหม่ ดีเกินไป ใจหมดรัก เป็นเพื่อนกัน ฟันแล้วทิ้ง แต่ไอ้การอกหักมันเริ่มจริงๆ ตอนที่เค้าหรือเธอคิดจะทิ้งแล้ว! ไอ้ที่มันนิ่งๆ อยู่น่ะ มันหาทางทำรัฐประหารประการอิสรภาพอยู่ตังหาก เราทำอะไรไม่ได้แล้วครับ นอกจากทำดีเข้าไว้แล้วจงมีสติกับสิ่งที่จะตามมา


แก่นหลักของการเลิกมาจากข้อเดียวคือ ‘เราไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดของเขาแล้ว’ เพราะฉะนั้น จงทำใจเมื่อเวลาเชือดมาถึง วินาทีนั้นจะโวยวายตีอกชกตัวแหกปากร้องไห้ เล่นสเก็ต เต้นแร็ปหรืออะไรก็ว่าไป ก็จะอะไรอีกละ โดนเค้าทิ้งนี่...ไอ้การที่คนเราจะบอกเลิกอีกคน มันไม่ใช่อะไรที่นึกจะทำแล้วลุกขึ้นทำได้เลย มันเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เค้าทำอยู่นั่น เค้าคิดมาดีแล้วครับ... แต่ถ้าการที่เค้าจะทิ้งเราไปแล้วจะทำให้เราแขนกุดขาหักใจขาด ก็จงยื้อเค้าให้ได้ในตอนนั้น จะสัญญาอะไร จะบอกอะไร จะง้อยังไง เอาให้เหมาะ จัดให้หนัก แต่จงพยายามแค่ครั้งสองครั้งพอ อย่าให้มากไปกว่านี้ เพราะยิ่งเราพยายามแล้วพบว่าไม่ได้ผล มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นนอกจากทำให้เราเจ็บมากขึ้นเท่านั้น และรังแต่จะทำให้เขารำคาญขึ้นมาเปล่าๆ


ทำอะไรก็ได้ แต่จงจำไว้เสมอ จงให้เกียรติตัวเอง และจงให้เกียรติตัวเอง


ถ้าเค้าจะเลิก ก็จงทำใจเถอะครับ ง้อกลับมาแล้วก็ไม่มีทางเหมือนเดิม มีแต่จะทำให้เราทุกข์ใจตัวเองเสียเปล่าๆ เหมือนเดิม มีแต่จะทำให้เราทุกข์ใจตัวเองเสียเปล่าๆ เหมือนแอปเปิ้ลโดนกัดไปหนึ่งแหว่ง ที่ได้แต่รอให้เหี่ยวตามลมตามอากาศ


ถ้าเป็นไปได้อย่าเลิกกันทางโทรศัพท์ บทสนทนาประกอบการเลิกกันจะเป็นคล้ายๆ กับท้องเดิน คือขี้จะไหลกะปริบกะปรอยเหมือนจะหมด แต่มีอีก เหมือนจะมา แต่เสือกไม่มี นอกจากไม่เห็นหน้ากันแล้ว ที่สำคัญโคตรจะเปลืองเงิน!! เพราะฉะนั้นหากแฟนโทรมาแล้วเรารู้สึกว่า มันมาแน่ๆ บอกไปเลย มึงอยู่ไหนเดี๋ยวกูไปหา ประจันน้ากันตัวตัวเลย หรือถ้าต้องเลิกกันจริงๆ ทางโทรศัพท์...จงให้อีกคนจะเลิกโทรมาเอง เรื่องอะไรที่เราต้องเสียเงินเสียทองไปหาแล้วเสือกโดนเลิกอีก


ทีนี้พอเค้าเดินออกไปจากสายตาเรา และชีวิตเราแล้ว เราจะทำยังไงดีล่ะ?


อาการระยะนี้จะเหมือนกันตอนที่เราตกหลุมรักครั้งแรกน่ะครับ คือ จะมีภาพเก่าๆ ของเราสองตกกระทบบนทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองไป แต่เห็นแล้วไม่สวยงามเหมือนเดิม ยิ่งเห็นยิ่งง่อยแดก ยิ่งเห็นยิ่งปวดไต อาการตอนี้จะเป็นอะไรที่พิสูจน์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทางเวลาของไอนสไตนืได้อย่างดี...ห่าเอ๊ย...ร้องไห้ซะตาบวมมาตั้งนานแล้วแม่งยังไม่เช้าซะที ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ฟังเพลงอกหักแล้วเจ็บปวดมาก...เหมือนทุกเพลงในโลกบรรจงเพลงขึ้นมาเพื่อซ้ำเติมเรา แต่บางคนฟังเพลงอกหักแล้วจะรับไม่ได้ เหมือนมีคนยืนหัวเราะเยาะอย่างไม่เกรงใจ ตรงนี้หากมีความคิดที่อยากอยู่คนเดียวก็ดีนะครับ แต่อย่าอยู่คนเดียวให้นานเกิน พยายามหาใครสักคนมาอยู่ด้วย ไม่ต้องพูดอะไรมากก็ได้แค่มานั่งกลมๆ อยู่ข้างๆ ก็พอ


ผมเรียกช่วงนี้ว่าป่วงแดก เพราะอาการคนช่วงนี้จะเหมือน ๆ กันคือ ต้องการคนระบาย...โทรหาชาวบ้านไปทั่วแล้วระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอ ไม่ต้องการความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น คำปลอบใจก็ต้องการแต่ไม่เยอะเท่าการระบาย ปัญหาอย่างเดียวคือระบายเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอ...ช่วงนี้ใครเป็นเพื่อนก็ทนลำบากอดหลับอดนอนกันไปกับการป่วงแดกของเรา เพราะว่าเราในตอนนี้คือคนที่มีชีวิตบัดซบที่สุดในสามโลก ถ้าเราเป็นสิ่งมีชีวิตเราก็เป็นโปรโตซัวในปูนิ่ม...ถ้าเราเป็นกางเกงยีนส์เราก็เป็นตะเข็บในซอกกระเป๋าหลังไอ้สาดเอ๊ยทำไมกูไร้ค่าแบบนี้


แอ๊ดดดดด!!!!! ผิด!!! วิดพื้น 30 ที ปฏิบัติ!!!


อย่าปล่อยให้ความคิดต้อยต่ำไร้ค่าแบบนั้นครอบงำเราโดยเด็ดขาดครับ เพราะลองคิดว่าเราเป็นโปรโตซัวแล้ว วิธีเดียวที่จะทำให้ได้เป็นโปรโตซัวจริงๆ ก็คือไปเกิดใหม่ครับ และถ้ามึงโง่ขนาดฆ่าตัยวตายเพราะอดหัก ชาติหน้าเอ็งได้เป็นโปรโตซัวแน่ๆ ไอ้ด่างข้างถนนลูกสี่ ผัวไปมีเมียใหม่ ไอ้ด่างยังไม่เคยปีนต้นมะขามผูกคอตายเล้ย


นี่มีคนงดเที่ยวเธค งดกินเหล้า งดความสุขหลายๆ อย่างมาอุ้ยท้องเรา ทนเจ็บที่สุดในชีวิตเพื่อคลอดเรา อดหลับอดนอนเลี้ยงเรา ทนเจ็บที่สุดในชีวิตเพื่อคลอดเรา อดหลับอดนอนเลี้ยงเรา อดใจไม่ซื้อของลดราคาต่างๆ นานา เพราะเก็บเงินให้เราเรียน แล้วนี่อยู่ดี ๆ เอ็งจะมาตายไปซะงั้น...เห็นแก่ตัวชิบเป๋ง


การปรับเปลี่ยนแนวความคิดนิดหน่อยกับคำสามคำช่วยได้ครับ ผมขอเรียกมันว่า “สันฝายเทอราพี”


สิ่งที่ทำให้เราคิดอยากเป็นโปรโตซัวในปูนิ่มคือตัวเองครับ ตัวเราที่คิดว่าเราไม่มีค่า เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยยนแนวคิดใหม่ หยุดความคิดทำนอง “ทำไมเค้าต้องทิ้งเราไป เรายังทำไม่ดีเหรอ”


เวลานี้เราต้องรักษาตัวเองครับ คิดซะใหม่ วิธีง่ายๆ ลองนึกถึงอไรก็ได้ที่เขาเคยทำให้เราเคือง ที่เราไม่พอใจ


ชอบมาสาย ยิมเงินแล้วไม่คืน ตดเหม็น ฉี่ไม่ยกฝารอง ขี้เหม็น อ้วกใส่รถเราเมื่อวันปีใหม่ อะไรก็ได้ที่เป็นข้อเสีย จากนั้นก็ให้เติม “สันฝายเอ๊ย...” เข้าไปข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น สันฝายเอ๊ย...ผู้ชายไรวะนัดแล้วชอบมาสาย...สันฝายเอ๊ย...ยืมเงินแล้วไม่คืน...สันฝายเอ๊ย..ตดเหม็น...สันฝายเอ๊ย...กินก๋วยเตี๋ยวไม่เคยเตรียมตะเกียบให้ตู...สันฝายเอ๊ย...ไม่เป็นสุภาพบุรุษเล้ย...


ถ้ายังร้องไห้ไม่พอก็ร้องต่อไปครับไม่ต้องไปกลั้น ร้องไปเรื่อย ๆ แล้วก็ค่อยๆ บิลด์อารมณ์ให้ตัวเองด้วย ‘สันฝายเทอราพี’ ลองพูดออกมาด้วย สันฝายเอ๊ย!...กล้องดิจิทัลที่ยืมกูไป แม่งก็ไม่คืน! นั่นแหละครับพูดออกมาเรื่อยๆ สันฝายเอ๊ย...บิลด์ไปเรื่อยๆ อาการป่วงแดกจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ พอสภาพจิตใจเริ่มฮึกเหิมและคิดว่าตัวเองพูดจาเป็นภาษามนุษย์ได้มากขึ้นแล้วก็โทรไปหาเพื่อนและระบายออกด้วยสันฝายเทอราพี... “นี่แกคิดดูดิ สันฝายเอ๊ย...” ซึ่งบทสนทนาจะออกแนวเม้าท์มันปากไปโดยปริยาย ช่วงที่เพิ่งอกหักจะเป็นช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อ คนที่มารักษาตัวเราเองได้ ไม่ใช่เพื่อนสนิท ไม่ใช่เพลงปลุกใจ หรือหนังซึ้งๆ ทั้งหมดแล้วอยู่ที่ตัวเราตังหากที่จะเยียวยาตัวเอง


ให้เราอาศัยช่วงจังหวะที่จิตใจฮึกเหิมจากสันฝายเทอราพี จัดการเก็บข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาทิ้งไปซะ...อะไรนะมันแพง จะทิ้งก็เสียดายเหรอ งั้นเก็บไว้ให้ลับหูลับตาเราก็ได้ เอาแบบเก็บรวมกับหนังสือเรียน ยัดๆ รวมกับกางเกงในเก่า

รองเท้าเก่าก็ได้ หรือไปผังไว้ที่เกาะเสม็ดก็ได้ และต้องไม่ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด...เบอร์โทรศัพท์ ลบออกจากเครื่องไปเล้ย เก็บไว้ก็แปลืองเมมโมรี ข้อความหวานๆ ต่างๆ ก็ลบออกไป เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงสันฝายเทอราพี เราไม่ต้องการแต่เรื่องเสื่อมๆ ชุ่ยๆ เท่านั้น...สันฝายเอ๊ย!!!


ส่วนใหญ่แล้วสันฝายเทอราพีจะมีผลอยู่ราวๆ หนึ่งอาทิตย์แล้วเราก็จะเกิดอาการลงแดง ปากซีดเหมือนคนอยากดมทินเนอร์ ที่ต้องการสิ่งที่คุ้นเคยเข้ามาเติมเต็ม แล้วเราก็จะหาทางโทรกลับไปหาเขาจนได้ ถึงแม้เราจะลบเบอร์โทรไปแล้วตาม


บางคนคุยกันดี ให้เราดีใจหลงคิดว่าที่ผ่านมาแค่เข้าใจผิดแต่คุยๆ ไปก็จะเกิดการติสท์แดก...เพราะเริ่มรู้สึกเค้าไม่เหมือนเดิมแล้ว...เค้าไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ เค้าทิ้งกูจริงๆ

อืม...ผีอำมั้ง ล้อกันเล่นมั้ง เขาคงไม่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่ดีๆ ก็โทรมาขอเลิกกับแกมั้ง
แล้วก็ไม่มีอะไรมากครับ อกหักอีกรอบ ง่อยแดกอีกที ก่อนระฆังจะหมดยกก็ได้แต่ซมซานหอบศพตัวเองมากองอยู่ที่มุมห้องกอดหมอนกัดชายเสื้อกระซิกๆ ร้องไห้สำลักขี้มูกอยู่คนเดียว


ช่วงนี้อย่าเพิ่งซ่าครับ ให้กบดานเก็บแรงเลียแผลตัวเองให้ดีก่อนครับ แผลยังสดอยู่ อย่าหาอะไรมาจี้แผลตัวเองเล่น พยายามเลี่ยงๆ ไว้ไม่ต้องเจอกันแหละดีที่สุด สำรวจเส้นทางก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ว่าระหว่างทางจะไปจ๊ะเอ๋กันรึเปล่า หลบหน้าให้เนียนเหมือนมันเป็นอิออนหรือบัตรเครดิตตามทวงหนี้ ถ้าหากสติสตังมาล้อว่าเราเป็นไอ้ขี้แพ้ก็อดทนครับ เราไม่ได้แพ้ ตอนนี้เราค่าล่าถอยไปตั้งหลักเท่านั้นเอง หลบไปเรื่อยๆ เลยครับ ไม่จำเป็น ไม่ต้องมาเจอกัน ให้เหมือนอยู่กันคนละภพไปเลยก็ดี แต่ถ้าต้อง เจอกัน จงทำตัวปกติในระดับเดียวกันลูกค้ากับเด็กเสิร์ฟกะเหรี่ยงร้านลูกชิ้นโกเด้ง พูดเท่าที่จำเป็น ตอบเท่าที่ถาม ด้วยการปฏิบัตตัว เย็นๆชาๆ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนประหลาด ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึกอัด ไม่สบายตัวเหมือนคล้ายกับยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อวาน


หากวันนึงเค้าเกิดโทรศัพท์เข้ามาหา จงระลึกไว้ครับ ว่าเราได้ทำประตูนำไปก่อนแล้ว...แสรดดด แล้วมึงก็ต้องโทรมาง้อกู...นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป...เสียใจว้อย ไม่ต้องไปต่อความยาวสาวความยืดครับ แต่ว่าเราจะมาโวยวายไก่กาปาทังก้าไม่ได้นะครับเดี๋ยวเสียลุคไฮโซหมด สิ่งที่ควรทำคือ...จงพูดเหมือนเค้าเป็นนี่เป็นการส่งคลื่นความถี่ต่ำให้เค้ารู้สึกว่า “อกหักขี้เม็ดอะไรนั่นทำอะไรกูไม่ได้ร๊อก”


เชื่อผมซิ หากทำได้อย่างนั้นจริงๆ ทันทีที่เราวางหูความรู้สึกเราจะเหมือนเรายืนเท้าสะเอวหัวเราะอยู่ริมผาที่มีคลื่นซัดใส่ในขณะที่อาทิตย์อัสดง...ว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า


อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เรายังต้องถอยล่ามาตั้งหลักรักษากำลังใจ เมื่อใดที่เราพบเห็นเค้าหรือมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บแปล๊บอยู่ แสดงว่าแผลยังไม่สนิทดี เรายังไม่พร้อมที่จะออกมาสู้กับมัน...ไม่เป็นไรคัรบกลับมารักษาใจเราต่อ...สันฝายเทอราพีกันต่อไป แล้ววันนึงอะไรๆ มันจะดีขึ้นเองครับบางคนใช้เวลาไม่นาน บางคนอาจเป็นเดือน บางคนอาจเป็นปีแล้วแต่สติและสภาพจิตใจของแต่ละคน เมื่อวันใดเรารู้สึกว่าเรื่องอกหักที่ผ่านๆ มา มันก็ไม่ได้แย่จนเกินไป แค่อยู่ในระดับเดียวกับโดนแท็กซี่เบี้ยวเงินทอน นั่นแปลว่า เราได้อัพเกรดเลเวลอัพฟื้นคืนพลังอย่างเต็มสูบแล้ว


และเมื่อถึงเวลาของมัน...จงอย่ากลัวที่จะพบเค้าอีกครั้ง


ไม่ต้องรักกันก็ได้ แค่ไม่เกลียดกันก็พอ

ความรักบางครั้งไม่ใช่การอดทนครับ หากเรารักเค้ามากป่านจะฉีกทวารดมแต่เค้าไม่ได้คิดแบบนั้น มันจะมีประโยชน์อะไร หากความรักที่ให้คนอื่นมันสร้างความทุกข์ให้ตัวเอง ...เราอยู่กับตัวเองหรืออยู่กับคนอื่นมากกว่ากัน?


กระจกที่เราส่องอยู่ทุกๆ วันก็ยังเห็นแต่ตัวเอง แล้วจะไปร้องไห้ทำพระแสงของ้าวอะไรครับ รักตัวเองดีกว่ามั้ย


ถ้าความรักทำให้โลกหมุนเหมือนที่มีคนบอกไว้ อกหักก็คงเป็นตัวควบคุมไม่ให้โลกหมุนเร็วเกินไป


มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกที่หมุนติ้วๆ ก็แค่เข้าใจในแรงเหวี่ยงของโลก มีสติ และหาที่ยืนอย่างสบายใจเท่านั้นเอง