BumQ

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“ไอ้คำ” ลวงโลกปั้นเรื่องอวดอ้างตนเรียกพลังศรัทธา จนถูกเรียก “บักเซียงเมี่ยง”







หลังตกเป็นข่าวอื้อฉาวทั้งเรื่องเมีย 8 คน ลูกชาย 2 คน มีรถยนต์หรูหลายคัน พร้อมเครื่องบินส่วนตัว สร้างบ้านราคาหลายสิบล้านให้พ่อแม่ เมีย และลูก พลังศรัทธาในตัวของนายวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ หรือ “ไอ้คำ” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรียกแรงศรัทธาจากประชาชนผู้มีศรัทธา แต่โง่เขลาเบาปัญญาขึ้นมาได้ด้วยการโปรโมตจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของทีมงาน และศิษยานุศิษย์ก็เริ่มหดหายลงอย่างเห็นได้ชัด
       
       สังเกตได้จากการระดมประชาสัมพันธ์จัดงานเชิญชวนสาธุชนให้เข้าไปร่วมทำบุญในงาน “มหาพิธีห่มผ้าฤดูฝนพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก” ที่บริเวณวัดป่าขันติธรรม ต.บ้านยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ช่วงระหว่างวันที่ 27-30 มิ.ย.2556 ที่ผ่านมา ล้วนล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า นับตั้งแต่วันแรกของการจัดงานมีประชาชนเดินทางมาร่วมงานมีจำนวนน้อยมาก
       
       “งานบุญปีนี้มีคนมาน้อยมาก จนสามารถนับเรียงตัวได้เลย ผิดจากทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีประชาชนเดินทางมากันจำนวนมาก บางคนเดินทางมาจับจองสถานที่ก่อนวันงานจะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำไป เรียกได้ว่าบริเวณพื้นที่ภายในวัดนี้จะเต็มไปหมด แต่ปีนี้ยอมรับว่ามีคนมาน้อยมาก และไม่คาดคิดเลยว่าคนจะมาน้อยขนาดนี้ ทั้งนี้ คงจะเป็นเพราะกระแสข่าวอื้อฉาวของหลวงปู่เณรคำ ในช่วงนี้แน่นอน” เจ้าหน้าที่ของวัดป่าขันติธรรมรายหนึ่งบอกแก่เรา
       
       ร.ต.ต.สุพัฒน์ แจ้มแจ้ง ผู้บังคับหมวด สภ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ หัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัยภายในวัดป่าขันติธรรม บอกว่า ตนอยู่ในพื้นที่นี้มานาน จนขณะนี้อายุ 59 ปีใกล้ที่จะเกษียณอายุราชการแล้ว เมื่อก่อนยอมรับว่าพลังศรัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำ นั้นมีมาก คนจะแน่นไปหมด ต้องเดินเบียดเสียดกันเข้ามาทำบุญ ถ้าเทียบกับทุกๆ ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าคนที่มาปีนี้น้อยมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว” 
       
       แฉเบื้องหลังสร้างศรัทธาตบตาญาติโยม
       
        อดีตศิษย์ผู้ใกล้ชิด และทำงานกับหลวงปู่เณรคำ มานาน รายหนึ่งเปิดเผยถึงพฤติกรรมการลวงโลกอวดอ้างตนว่าเป็นพระอริยสงฆ์ของ “ไอ้คำ” ช่วงสมัยที่มีผู้คนศรัทธามากมายก่อนจะมาถึงจุดตกอับ ณ วันนี้ว่า ที่หลวงปู่เณรคำ มีชื่อเสียงโด่งดังจนมีญาติโยมศรัทธาเสื่อมใสบริจาคเงินให้มากมายขึ้นมาได้ก็เพราะการโปรโมต และการสร้างภาพขึ้นมาตบตาญาติโยมทั้งสิ้น โดยมีทีมงานกองงานประชาสัมพันธ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เป็นฝ่ายสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแต่งตั้งปั้นเรื่องขึ้นมา
       
       โดยเริ่มจากการอวดอ้างตนพิมพ์ลงในหนังสือ “ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด” และ “นิพพานมีจริง” ซึ่งหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ถือได้ว่าเป็นตัวเรียกศรัทธาจากญาติโยมจนกลายเป็นหนังสือที่มียอดขายดีที่สุดในบรรดาหนังสือทั้งหมดของหลวงปูที่พิมพ์ออกมา จนมีการนำไปพิมพ์เผยแพร่ต่อๆ กันอย่างแพร่หลาย จนทำให้หลวงปู่เณรคำ โด่งดังเป็นที่รู้จัก และศรัทธาทั้งใน และต่างประเทศ
       
       อวดอ้างตนว่าเคยเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า
       
       นอกจากนี้ หลวงปู่เณรคำ ยังเป็นคนที่พูดจาไพเราะ นุ่มนวล อ่อนหวาน มีเสน่ห์ หากใครได้ฟังก็จะเกิดความหลงใหล เกิดความศรัทธา เวลาไปเทศนาที่ไหนหลวงปู่เณรคำ จะมีคนไฟฟังกันจำนวนมาก และทุกครั้งที่เทศน์ก็มักจะอวดอ้างตนอยู่เสมอว่า “นั่งสมาธิแล้วเห็นเทวดา มีเทวดามานั่งฟังเทศน์ รวมทั้งสามารถพูดคุยสื่อสารกับเทวดาได้” 
       
        “และในครั้งพุทธกาล ตนกับเพื่อนรวม 400 คน เคยเกิดเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า โดยเพื่อนของตนทุกคนต่างสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ไปนิพพานกันหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ตนคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงได้รับคำสั่งให้มาเกิดในชาตินี้ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายเพื่อให้มาพาญาติโยมไปสู่นิพพานพร้อมกัน” 
       
       อุปโลกน์ปั้นตัวเลขผู้บริจาคเรียกความศรัทธา
       
       รวมทั้งมีการสร้างภาพให้เพื่อญาติโยมเกิดความหลงเชื่อ และศรัทธาในตัวเองว่า “เป็นผู้มีบารมี” เป็น “พระอริยสงฆ์” จึงมีญาติโยมมาร่วมทำบุญกันเป็นจำนวนมาก โดยมีการอุปโลกน์ปรับแต่งตัวเลขยอดผู้ที่มาทำบุญว่ามีผู้ถวายเงินให้ในแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น
       
       หากมีการทอดกฐินสามัคคีก็จะมีการตกแต่งตัวเลขให้ดูเพื่อให้ญาติโยมหลงเชื่อว่า มีผู้บริจาคเงินเป็นจำนวนมาก เช่น ยอดการทอดผ้าป่าสามัคคี 2 ล้านบาท ก็จะแต่งตัวเลขและทำการประชาสัมพันธ์ออกไปว่า มีผู้ทำบุญมากถึง 10 ล้านบาท หรือมียอดทอดกฐินเสาร์ 9 เมตร 36 ต้น จำนวนเงิน 14 ล้านบาท ก็จะตกแต่งตัวเลขและประชาสัมพันธ์ออกไปว่ามียอดทอดกฐินทั้งสิ้นกว่า 75 ล้านบาท หรือ 100 ล้านบาท เป็นต้น
       
       อ้างท้าวสักกะเทวราชสั่งสร้างพระแก้ว
       
       ส่วนการสร้าง “พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก” นั้น หลวงปู่เณรคำ อ้างว่า “ได้พบ และพูดคุยกับท้าวสักกะเทวราช และได้รับคำสั่งจากท้าวสักกะเทวราชให้มาสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาเพื่อให้ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายได้ร่วมกันทำบุญครั้งใหญ่เพื่อจะได้สู่นิพพานในชาตินี้” 
       
       นอกจากนี้ หลวงปู่เณรคำ ยังเทศนาชักชวนให้ญาติโยมร่วมกันบริจาคทองคำ โดยอ้างถึงวัตถุประสงค์การรับบริจาคทองคำจากญาติโยมว่า “ได้พูดคุยกับพระอินทร์ และท้าวสุริยามรรคผู้เป็นมหาราชจอมเทวดาที่สถิตอยู่ในสุคติภูมิโลกสวรรค์ชั้นยามา เกี่ยวกับรูปแบบการสร้างวิหารครอบองค์พระแก้ว รวมไปถึงการอ้างถึงวิมานที่วิจิตรพิสดารงดงามมาก โดยหลวงปู่เณรคำ บอกว่าเป็นที่เคยมาเสวยทิพยสมบัติในชาติก่อนนี้”
       
        นอกจากนี้ ยังมีการปั้นน้ำเป็นตัวโดยอ้างว่ามีผู้บริจาครถยนต์หรู ยี่ห้อเมอรืเซเดส เบนซ์ จำนวน 1 คัน มูลค่า 20 ล้านบาทให้ แท้ที่จริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าว หลวงปู่เณรคำ เป็นผู้ไปดาวน์มาเองทั้งสิ้น เพื่อสร้างภาพให้ญาติโยมดูว่า มีคนมาบริจาคถวายรถให้เพื่อเรียกแรงศรัทธาให้มากขึ้น
       
       สร้างภาพมีรถขบวนนำหน้าไม่ต่างจากบุคคลสำคัญ
       
       เวลาที่หลวงปู่เณรคำ จะไปไหน หรือรับกิจนิมนต์สำคัญก็จะมีขบวนรถตำรวจทางหลวงนำขบวนอย่างยิ่งใหญ่ไม่แตกต่างไปจากขบวนของบุคคลสำคัญในประเทศ โดยจะมีการนำตราประจำองค์หลวงปู่เณรคำ ไปติดไว้ที่ประตูผู้โดยสารข้างรถด้านหลัง ส่วนตรงกันชนด้านหน้าจะติดเสาสัญลักษณ์ขององค์หลวงปู่เณรคำ เพื่อทำให้เหมือนรถขบวนบุคคลสำคัญ โดยมีรถในขบวนไม่ต่ำกว่า 15 คัน และมีรถตำรวจเขตทางหลวงวิ่งนำขบวนปิดหัวท้ายขบวนร่วม 4 คัน 
       
       โดยรถนำขบวนดังกล่าว เป็นรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด สีน้ำตาล หมายเลข 0019 ทะเบียน กธ 665 กทม. โดยในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ที่หลวงปู่เณรคำ บริจาคให้แก่ทางหลวง 3 คัน แต่มีการนำมาใช้ในกิจการของตัวเองวิ่งทั่วราชอาณาจักรไทย
       
       ส่วนผู้ขับรถในขบวนทั้งหมดจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงนอกราชการ แต่งเครื่องแบบตำรวจทางหลวงพกอาวุธปืนมาเป็นพลขับให้ทุกคัน โดยไม่มีพลเรือนขับแม้แต่คันเดียว
       
       อ้างซื้อ “ฮ.” ที่แท้ไปเช่าเขามาตบตาญาติโยม
       
       รวมทั้งการเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งทุกครั้งที่หลวงปู่เณรคำ เดินทางมาที่วัดป่าขันติธรรมก็จะนั่งเฮลิคอปเตอร์มา ซึ่งการทำอย่างนี้ก็เพื่อสร้างภาพให้ญาติโยมได้เห็นว่า ตนเองเป็นผู้มีบารมี และเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวก็เป็นของหลวงปู่ที่ซื้อมาเอง แต่แท้ที่จริงแล้วไปเช่ามา แล้วให้บริษัทที่ตนเองไปเช่าเฮลิคอปเตอร์มาติดตราสัญลักษณ์ประจำองค์หลวงปู่เณรคำ เช่นเดียวกับกับรถยนต์เพื่อสร้างภาพว่าเป็นของส่วนตัว
       
       ส่วนการเช่าเจ็ทนั้นจะทำเพื่อรับรองแขกวีไอพี ที่จะมาบริจาคเงินให้จำนวนมากเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ เช่น มิสเตอร์อู๋ นักธุรกิจชาวมาเลเชีย เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างสัญลักษณ์ให้แก่ตนเองว่าเป็น “ผู้มีบารมี” เป็น “พระอริยสงฆ์”
       
       ตบตาสร้างวัดสาขามากมายกว่า 200 สาขา
       
       สำหรับวัดสาขา หรือสำนักสงฆ์สาขา ของวัดป่าขันติธรรมตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีกว่า 200 สาขานั้น ความจริงมีเพียงไม่กี่สาขา โดยแต่ละสาขาจะใช้ชื่อว่าวัดป่าขันติบารมีสาขาที่... หรือสำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่... หากใครไม่รู้ก็จะเข้าใจว่าสาขาของวัดป่าขันติธรรมนี้มีมากกว่า 200 สาขา แต่ความจริงมีเพียงไม่กี่สาขา
       
        แต่ด้วยความชาญฉลาดของหลวงปู่เณรคำ จึงได้มีการสร้างรหัสสาขาขึ้นมาโดยใช้เลข “10” หรือ “20” เป็นเลขรหัสนำหน้า เช่น สำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 101 บ้านเขาคีรี ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี หรือสำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 201 บ้านแสนสุข ต.ทุ่งมหาเจริญ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ทั้งนี้ เพื่อสร้างภาพให้ประชาชนเข้าใจว่าสาขาของวัดนี้มีมากกว่า 200 สาขา เพื่อจะได้ดึงดูดแรงศรัทธาจากประชาชนนักแสวงบุญทั้งหลายให้เข้าไปทำบุญบริจาคเงินกันมากๆ โดยรหัสที่ขึ้นต้นด้วย 10 นั้น จะเป็นที่รู้กันว่าอยู่ทางภาคกลาง เช่น สำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 101 บ้านเขาคีรี ขึ้นต้นด้วย 20 ก็จะอยู่ทางภาคตะวันออก เช่น สำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 201 บ้านแสนสุข เป็นต้น
       
       ส่วนภาคอีสาน และภาคเหนือจะไม่มีรหัส เช่น สำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 1 บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี สำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 2 บ้านตาเส็ด ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ หากมีการตรวจสอบกันจริงๆ แล้วก็จะรู้ความจริงว่า สำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 3 สาขาที่ 4 และสาขาที่ 5 ไปจนถึงสำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 100 นั้นยังไม่มีแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เพียงแค่ไม่กี่วัดเท่านั้นที่กำลังก่อสร้างอยู่แต่ยังไม่เสร็จ เช่น สาขาที่ 89 อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก รวมทั้งสาขาที่มีรหัสนำหน้า 101 ไปจนถึง 201 ก็เช่นกัน
       
       “การทำเช่นนี้ก็เพื่อตบตาญาติดยม แต่โดยความเป็นจริงแล้ว สาขาของวัดนั้นมีเพียงไม่กี่สาขา แต่เพื่อให้ดูดีดูว่าหลวงปู่มีบารมีมาก มีการสร้างวัดสาขาไว้มาก ญาติโยมก็หลงเชื่อและเกิดความศรัทธาจึงร่วมกันบริจาคเงินเข้ามากันเป็นจำนวนมากเพื่อร่วมกันทำบุญสร้างวัด แต่พอเงินเข้ามาก็หายหมดไม่รู้ไปไหน” 
       
       มีทีม ปชส.คอยหนุนหลังร่วมด้วยช่วยปั้นเรื่อง
       
       อดีตศิษย์ผู้ใกล้ชิด บอกด้วยว่า นอกจากการสร้างภาพเทศนาอวดอ้างตนจนทำให้สาธุชนเกิดความหลงใหล และศรัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้หลวงปู่เณรคำ มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีคนเกิดความศรัทธามากขึ้นคือ “ทีมกองงานประชาสัมพันธ์” ของวัดป่าขันติธรรม
       
       โดยกองงานประชาสัมพันธ์นี้จะทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อเสริมสร้าง “บารมีปลอม” ความเป็น “พระอริยสงฆ์เทียม” ให้แก่หลวงปู่เณรคำ หรือ “ไอ้คำ” โดยจะทำหน้าที่ประสานงานกับสื่อต่างๆ ทั้งในท้องถิ่น และส่วนกลาง ร่วมทั้งสื่อออนไลน์ และโซเชียลเน็ตเวิร์ก ตลอดจนมีการปล่อยคลิปคำเทศนาชวนเชื่อของไอ้คำ ทางเว็บไซต์ต่างๆ
       
       นอกจากการสร้างภาพให้ดูดีเพื่อหลอกลวงญาติโยมแล้ว ทีมงานกองงานประชาสัมพันธ์นี้ ยังจะทำหน้าที่เข้าไปเคลียร์ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของหลวงปู่เณรคำเสื่อมเสียด้วย ซึ่งการเคลียร์ปัญหาทุกครั้งก็มักจะจบลงที่ด้วยการ “จ่ายเงินปิดปาก” 
       
        ทั้งหมดนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อหลอกลวง ตบตา เพื่อดูดทรัพย์ และทองคำจากญาติโยมผู้หลงเชื่อศรัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำ หรือ “ไอ้คำ” อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งชาวจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนใหญ่ทราบเรื่องนี้ดีว่า.....
        
       เรื่องทั้งหมด “ไอ้คำ” หรือหลวงปู่เณรคำ สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงตบสายตาประชาชน ปั้นน้ำเป็นตัวไม่ต่างอะไรกับ “เด็กเลี้ยงแกะ” หรือเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะไม่ต่างอะไกับ “ศรีธนญชัย” ซึ่งชาวอีสานโดยเฉพาะชาวศรีสะเกษต่างเรียกหลวงปู่เณรคำว่า “บักเซียงเมี่ยง”
       
       อนึ่ง สำหรับ “เซียงเมี่ยง” เป็นวรรณกรรมอีสานที่เล่าสืบต่อกันมาหลายสมัย เรียกง่ายๆ ก็คือ “ศรีธนญชัย” ของไทยเรานี้เอง แต่ทางภาคอีสานจะเรียกกันว่า “เซียงเมี่ยง”
       
       สำหรับคำว่า “เซียง” นั้นหมายถึง "คนที่บวชเณรแล้วสึกออกมา" 
       
       ส่วน “เมี่ยง” เป็นชื่อคนที่มีความหมายเหมือนไม่เอาไหน
       
       “เซียงเมี่ยง” จึงหมายถึงเป็นคนที่ฉลาดแกมโกง
       
       เช่นมีนิทานเล่าสืบต่อกันมาว่า “วันหนึ่งมีคนต่างเมืองมาท้าเจ้าเมืองหาคนมาวาดรูปสัตว์แข่งกันใครจะสามารถวาดได้เร็ว และจำนวนมากกว่ากันในเวลาที่กำหนด เจ้าเมืองก็เรียก “เซียงเมี่ยง” มาแข่งขัน เมื่อการแข่งขันเริ่มขี้น พวกต่างเมืองก็พากันวาดรูปสัตว์ต่างๆ ตามถนัด ได้หลายตัว คิดว่าชนะแน่ๆ ฝ่าย “เซียงเมี่ยง“ ใช้นิ้วมือทั้งสิบนิ้วจุ่มสีลากไปบนผืนผ้าขยุกขยิกไปมา เป็นเส้นๆ จำนวนมาก เมื่อกรรมการตัดสินปรากฏว่า “เซียงเมี่ยง” ชนะขาด เขาวาดไส้เดือนนับได้เป็นร้อยๆ ตัว” 
       
        ดังนั้น พฤติกรรมของหลวงปู่เณรคำ หรือ “ไอ้คำ” จึงไม่ต่างไปจาก “เซียงเมี่ยง” นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น