BumQ

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สันฝายเทอราพี

ถ้าเอาเรื่องทุกข์ๆ ในชีวิตของมนุษย์มาจัดเป็นทีมฟุตบอลสักหนึ่งทีม ผมว่า ‘อกหัก’ จะต้องได้เป็นศูนย์หน้าตัวเป้าชัวร์ๆ และ อกหัก จะต้องทำประตูคู่แข่งได้บ่อยมากด้วย เพราะคนเราทุกคนในโลกจะต้องเคยอกหัก

ไม่ว่าไอ้คนนั้นจะมีเมนส์ ปวดตับ และเคยเป็นซีสต์ที่แก้มตูดซ้าย หรือสุขภาพแข็งแรงระดับโคแนนแรมโบ้เรียกพ่อ ก็ต้องเคยอกหักกันทั้งนั้น เพลงที่บรรเลงอยู่ในโลก 90 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นเพลงอกหัก ซึ่งแค่นั้นก็มากชิบหายแล้ว แต่เพลงอกหักก็ยังมีคนเขียนออกมาได้เรื่อยๆ เหมือนไม่เคยเพียงพอกับปริมาณคนอกหักบนโลกร้อนๆ ใบนี้

แล้วเราจะป้องกันการอกหักได้อย่างไร? ... อันนี้วิชัยไม่ใช่เง็กเซียนฮ่องเต้ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ


ถ้าความรักคือการมีชีวิต...อกหักก็เหมือนฟันของเราครับ ทุกคนต้องมีประสบการฟันหลุดร่วง อย่างน้อยก็จากฟันน้ำนม บางคนหลุดอย่างนิ่มนวล บางคนฟันค่อยๆ ผุจนต้องทรมานโดนหมอถอนทิ้ง บางคนอักเสบซากอ้อย ทิ้งร่องรอยเป็นฟันแท้ที่ขึ้นใหม่เรียงไม่เป็นระเบียบ โตมาก็หนักหน่อยกับการที่ต้องไปผ่าฟันคุด แค่ต่อนผ่าจัดว่าทุลักทุเลแล้ว ไอ้ตอนที่ผ่าเสร็จนี่สิ ค่ำคืนนั้นช่างยาวนานและเจ็บปวด เหมือนออกซิเจนที่หายใจเข้าไปมีเศษแก้วผสมอยู่ให้เราเจ็บปวดตลอดเวลา บางคนหนักกว่า ฟันผุจนต้องถอนทิ้งแล้วใส่ฟันปลอม!


แล้วเราจะรับมือกับการอกหักร้กงอฟันคุดได้ยังไง?


หึหึหึ...เกริ่นหาทางลงให้เปลืองกระดาษมาตั้งนาน อยากวาดรูปพลุฉลองสักรูป ในที่สุดก็ได้เข้าเรื่องซะที


เราต้องเข้าใจธรรมชาติของการอกหักซะก่อน...อกหักมีหลายคนชื่อให้เรียกขาน ซึ่งไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร หรือติสท์แค่ไหนแต่รวมแล้วแปลได้ใจความแบบหักหาญน้ำใจชาวบ้านประชาชนทั่วไปว่า ‘โดนทิ้ง’ คิดกันแบบลึกๆ ถึงแก่นสาเหตุแล้ว ไอ้อาการ ‘โดนทิ้ง’ นี้มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับทัศนคติไม่ตรงกัน ครอบครัวกีดกัน รักแท้แพ้ระยะทาง รักแท้แพ้รถแดง หรือรักแท้แช่แฟ้บ พอแดกแกลบก็ทิ้งกัน เรื่องทั้งหมดที่บรรยายมาเป็นเปลือกข้ออ้างครับ เป็นหนามแหลมๆ ของเปลือกทุเรียนที่ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่นอกจากเตือนให้เราระวังก่อนจะจับ แต่เนื้อสีเหลืองนวลๆ ที่อยู่ข้างใต้เปลือกหนามคือ ‘เราไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด’


ฟังดูง่ายๆ แต่โหดร้ายใช่มั้ย...ก็เหมือนเนื้อทุเรียนแหละ สีเหลืองนวล แต่ไม่หอม ( หรือบางคนอาจหอม?)


ตอนตกลงปลงใจรักกัน ก็มีเหตุผลเดียวที่ตรงข้ามกับตอนเลิกกัน ก็คือ... ‘เขา/เธอเป็นสิ่งที่ดีที่สุด’ ไม่ว่าจะเป็นคุยกันรู้เรื่อง พี่เค้าอบอุ่นจัง พี่เค้ารวยมาก น้องเค้าน่ารัก น้องเค้าสเปค พี่เค้าสูงเทหล่อ น้องเค้านมใหม่บ้านรวยสวยเอ็กซ์ หรืออะไร ๆ ก็ตาม...อย่างใดอย่างหนึ่ง มันคือสิ่งที่ดีที่สุด


รักกัน รักกัน รักกัน แล้วยังไงต่อ วันหนึ่ง ‘สิ่งที่ดีที่สุด’ ก็มีคำนำหน้าเข้ามาเพิ่มเป็น ‘เคยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด’


เจ้าตัวอกหักจะพับแขนเสื้อเดินเข้ามาในช่วงชีวิตเราแล้วตบบ่าทักทายเราอย่างเป็นกันเอง สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือ ทักทายมันอย่างคุ้นเคย


“อ้าว เหี้ยมึง มาอีกแล้วหรอ ไม่เจอกันตั้งนาน”


ของแบบนี้มันมีสัญญาณครับ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมา “ฮัลโหล ตัวเอง กูทิ้งมึงนะ” ส่วนสังเกตสัญญาณได้ยังไง อันนี้ไม่ทราบได้ แต่เมื่อใดที่เราสงสัยว่า อีนี่แม่งเล่นกูแน่ๆ จงทำตัวให้ปกติสังเกตอาการไปเรื่อยๆ สำรวจตัวเองว่าช่วงนี้เรางี่เง่าไปมั้ย เราตดบ่อยรึเปล่า หรือแฟนเราไปติดพันน้องนมโตต่างคณะใช่มั้ย


สิ่งที่ควรทำคือ...อย่าโวยวาย


“พี่แว่น!! ~ ช่วงนี้พี่แว่นกางเกงในเข้าวินบ่อย พี่จะทิ้งหนูไปใช่ม้ายยย ทำมายยย เมื่อก่อนพี่ไม่เคยแคะกางเกงในแบบนี้ ทามมมมายยยยย”


“ทำไมมือถือไม่มีใครส่ง sms มาเลย...แอบลบไปใช่มั้ย ฮือ...มึงทิ้งกูแหล่ววววว”


อืม...นั้นแหละ ปัญญาอ่อนแบบนี้ กูจะทิ้งมึงซะวันนี้เลยมีสติหน่อยว้อยเฮ้ย!!!


อันที่จริงแล้วสัญญาณต่างๆ มันอาจจะเป็นแค่เราประสาทแดกไปเองก็ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงๆ สิ่งที่จะทำได้คือลองบอกรักให้บ่อยขึ้นสิ “เรารักตัวเองนะ” ซึ่งบางทีคำพูดง่ายๆ มันจะมีอีกความนัยซ่อนอยู่เช่น... “กูรักมึงแบบนี้...ยังกล้าทิ้งกูอีกเหรอ” มันอาจทำอะไรไม่ได้มากหรอก เพราะอันที่จริง อกหักมันไม่ได้เริ่มตรงที่เราเขาเดินมา ขยิบตาโอบเอวเราแล้วพูดว่า เราเลิกกัน ฉันทิ้งเธอ เจอคนใหม่ ดีเกินไป ใจหมดรัก เป็นเพื่อนกัน ฟันแล้วทิ้ง แต่ไอ้การอกหักมันเริ่มจริงๆ ตอนที่เค้าหรือเธอคิดจะทิ้งแล้ว! ไอ้ที่มันนิ่งๆ อยู่น่ะ มันหาทางทำรัฐประหารประการอิสรภาพอยู่ตังหาก เราทำอะไรไม่ได้แล้วครับ นอกจากทำดีเข้าไว้แล้วจงมีสติกับสิ่งที่จะตามมา


แก่นหลักของการเลิกมาจากข้อเดียวคือ ‘เราไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดของเขาแล้ว’ เพราะฉะนั้น จงทำใจเมื่อเวลาเชือดมาถึง วินาทีนั้นจะโวยวายตีอกชกตัวแหกปากร้องไห้ เล่นสเก็ต เต้นแร็ปหรืออะไรก็ว่าไป ก็จะอะไรอีกละ โดนเค้าทิ้งนี่...ไอ้การที่คนเราจะบอกเลิกอีกคน มันไม่ใช่อะไรที่นึกจะทำแล้วลุกขึ้นทำได้เลย มันเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เค้าทำอยู่นั่น เค้าคิดมาดีแล้วครับ... แต่ถ้าการที่เค้าจะทิ้งเราไปแล้วจะทำให้เราแขนกุดขาหักใจขาด ก็จงยื้อเค้าให้ได้ในตอนนั้น จะสัญญาอะไร จะบอกอะไร จะง้อยังไง เอาให้เหมาะ จัดให้หนัก แต่จงพยายามแค่ครั้งสองครั้งพอ อย่าให้มากไปกว่านี้ เพราะยิ่งเราพยายามแล้วพบว่าไม่ได้ผล มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นนอกจากทำให้เราเจ็บมากขึ้นเท่านั้น และรังแต่จะทำให้เขารำคาญขึ้นมาเปล่าๆ


ทำอะไรก็ได้ แต่จงจำไว้เสมอ จงให้เกียรติตัวเอง และจงให้เกียรติตัวเอง


ถ้าเค้าจะเลิก ก็จงทำใจเถอะครับ ง้อกลับมาแล้วก็ไม่มีทางเหมือนเดิม มีแต่จะทำให้เราทุกข์ใจตัวเองเสียเปล่าๆ เหมือนเดิม มีแต่จะทำให้เราทุกข์ใจตัวเองเสียเปล่าๆ เหมือนแอปเปิ้ลโดนกัดไปหนึ่งแหว่ง ที่ได้แต่รอให้เหี่ยวตามลมตามอากาศ


ถ้าเป็นไปได้อย่าเลิกกันทางโทรศัพท์ บทสนทนาประกอบการเลิกกันจะเป็นคล้ายๆ กับท้องเดิน คือขี้จะไหลกะปริบกะปรอยเหมือนจะหมด แต่มีอีก เหมือนจะมา แต่เสือกไม่มี นอกจากไม่เห็นหน้ากันแล้ว ที่สำคัญโคตรจะเปลืองเงิน!! เพราะฉะนั้นหากแฟนโทรมาแล้วเรารู้สึกว่า มันมาแน่ๆ บอกไปเลย มึงอยู่ไหนเดี๋ยวกูไปหา ประจันน้ากันตัวตัวเลย หรือถ้าต้องเลิกกันจริงๆ ทางโทรศัพท์...จงให้อีกคนจะเลิกโทรมาเอง เรื่องอะไรที่เราต้องเสียเงินเสียทองไปหาแล้วเสือกโดนเลิกอีก


ทีนี้พอเค้าเดินออกไปจากสายตาเรา และชีวิตเราแล้ว เราจะทำยังไงดีล่ะ?


อาการระยะนี้จะเหมือนกันตอนที่เราตกหลุมรักครั้งแรกน่ะครับ คือ จะมีภาพเก่าๆ ของเราสองตกกระทบบนทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองไป แต่เห็นแล้วไม่สวยงามเหมือนเดิม ยิ่งเห็นยิ่งง่อยแดก ยิ่งเห็นยิ่งปวดไต อาการตอนี้จะเป็นอะไรที่พิสูจน์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทางเวลาของไอนสไตนืได้อย่างดี...ห่าเอ๊ย...ร้องไห้ซะตาบวมมาตั้งนานแล้วแม่งยังไม่เช้าซะที ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ฟังเพลงอกหักแล้วเจ็บปวดมาก...เหมือนทุกเพลงในโลกบรรจงเพลงขึ้นมาเพื่อซ้ำเติมเรา แต่บางคนฟังเพลงอกหักแล้วจะรับไม่ได้ เหมือนมีคนยืนหัวเราะเยาะอย่างไม่เกรงใจ ตรงนี้หากมีความคิดที่อยากอยู่คนเดียวก็ดีนะครับ แต่อย่าอยู่คนเดียวให้นานเกิน พยายามหาใครสักคนมาอยู่ด้วย ไม่ต้องพูดอะไรมากก็ได้แค่มานั่งกลมๆ อยู่ข้างๆ ก็พอ


ผมเรียกช่วงนี้ว่าป่วงแดก เพราะอาการคนช่วงนี้จะเหมือน ๆ กันคือ ต้องการคนระบาย...โทรหาชาวบ้านไปทั่วแล้วระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอ ไม่ต้องการความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น คำปลอบใจก็ต้องการแต่ไม่เยอะเท่าการระบาย ปัญหาอย่างเดียวคือระบายเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอ...ช่วงนี้ใครเป็นเพื่อนก็ทนลำบากอดหลับอดนอนกันไปกับการป่วงแดกของเรา เพราะว่าเราในตอนนี้คือคนที่มีชีวิตบัดซบที่สุดในสามโลก ถ้าเราเป็นสิ่งมีชีวิตเราก็เป็นโปรโตซัวในปูนิ่ม...ถ้าเราเป็นกางเกงยีนส์เราก็เป็นตะเข็บในซอกกระเป๋าหลังไอ้สาดเอ๊ยทำไมกูไร้ค่าแบบนี้


แอ๊ดดดดด!!!!! ผิด!!! วิดพื้น 30 ที ปฏิบัติ!!!


อย่าปล่อยให้ความคิดต้อยต่ำไร้ค่าแบบนั้นครอบงำเราโดยเด็ดขาดครับ เพราะลองคิดว่าเราเป็นโปรโตซัวแล้ว วิธีเดียวที่จะทำให้ได้เป็นโปรโตซัวจริงๆ ก็คือไปเกิดใหม่ครับ และถ้ามึงโง่ขนาดฆ่าตัยวตายเพราะอดหัก ชาติหน้าเอ็งได้เป็นโปรโตซัวแน่ๆ ไอ้ด่างข้างถนนลูกสี่ ผัวไปมีเมียใหม่ ไอ้ด่างยังไม่เคยปีนต้นมะขามผูกคอตายเล้ย


นี่มีคนงดเที่ยวเธค งดกินเหล้า งดความสุขหลายๆ อย่างมาอุ้ยท้องเรา ทนเจ็บที่สุดในชีวิตเพื่อคลอดเรา อดหลับอดนอนเลี้ยงเรา ทนเจ็บที่สุดในชีวิตเพื่อคลอดเรา อดหลับอดนอนเลี้ยงเรา อดใจไม่ซื้อของลดราคาต่างๆ นานา เพราะเก็บเงินให้เราเรียน แล้วนี่อยู่ดี ๆ เอ็งจะมาตายไปซะงั้น...เห็นแก่ตัวชิบเป๋ง


การปรับเปลี่ยนแนวความคิดนิดหน่อยกับคำสามคำช่วยได้ครับ ผมขอเรียกมันว่า “สันฝายเทอราพี”


สิ่งที่ทำให้เราคิดอยากเป็นโปรโตซัวในปูนิ่มคือตัวเองครับ ตัวเราที่คิดว่าเราไม่มีค่า เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยยนแนวคิดใหม่ หยุดความคิดทำนอง “ทำไมเค้าต้องทิ้งเราไป เรายังทำไม่ดีเหรอ”


เวลานี้เราต้องรักษาตัวเองครับ คิดซะใหม่ วิธีง่ายๆ ลองนึกถึงอไรก็ได้ที่เขาเคยทำให้เราเคือง ที่เราไม่พอใจ


ชอบมาสาย ยิมเงินแล้วไม่คืน ตดเหม็น ฉี่ไม่ยกฝารอง ขี้เหม็น อ้วกใส่รถเราเมื่อวันปีใหม่ อะไรก็ได้ที่เป็นข้อเสีย จากนั้นก็ให้เติม “สันฝายเอ๊ย...” เข้าไปข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น สันฝายเอ๊ย...ผู้ชายไรวะนัดแล้วชอบมาสาย...สันฝายเอ๊ย...ยืมเงินแล้วไม่คืน...สันฝายเอ๊ย..ตดเหม็น...สันฝายเอ๊ย...กินก๋วยเตี๋ยวไม่เคยเตรียมตะเกียบให้ตู...สันฝายเอ๊ย...ไม่เป็นสุภาพบุรุษเล้ย...


ถ้ายังร้องไห้ไม่พอก็ร้องต่อไปครับไม่ต้องไปกลั้น ร้องไปเรื่อย ๆ แล้วก็ค่อยๆ บิลด์อารมณ์ให้ตัวเองด้วย ‘สันฝายเทอราพี’ ลองพูดออกมาด้วย สันฝายเอ๊ย!...กล้องดิจิทัลที่ยืมกูไป แม่งก็ไม่คืน! นั่นแหละครับพูดออกมาเรื่อยๆ สันฝายเอ๊ย...บิลด์ไปเรื่อยๆ อาการป่วงแดกจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ พอสภาพจิตใจเริ่มฮึกเหิมและคิดว่าตัวเองพูดจาเป็นภาษามนุษย์ได้มากขึ้นแล้วก็โทรไปหาเพื่อนและระบายออกด้วยสันฝายเทอราพี... “นี่แกคิดดูดิ สันฝายเอ๊ย...” ซึ่งบทสนทนาจะออกแนวเม้าท์มันปากไปโดยปริยาย ช่วงที่เพิ่งอกหักจะเป็นช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อ คนที่มารักษาตัวเราเองได้ ไม่ใช่เพื่อนสนิท ไม่ใช่เพลงปลุกใจ หรือหนังซึ้งๆ ทั้งหมดแล้วอยู่ที่ตัวเราตังหากที่จะเยียวยาตัวเอง


ให้เราอาศัยช่วงจังหวะที่จิตใจฮึกเหิมจากสันฝายเทอราพี จัดการเก็บข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาทิ้งไปซะ...อะไรนะมันแพง จะทิ้งก็เสียดายเหรอ งั้นเก็บไว้ให้ลับหูลับตาเราก็ได้ เอาแบบเก็บรวมกับหนังสือเรียน ยัดๆ รวมกับกางเกงในเก่า

รองเท้าเก่าก็ได้ หรือไปผังไว้ที่เกาะเสม็ดก็ได้ และต้องไม่ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด...เบอร์โทรศัพท์ ลบออกจากเครื่องไปเล้ย เก็บไว้ก็แปลืองเมมโมรี ข้อความหวานๆ ต่างๆ ก็ลบออกไป เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงสันฝายเทอราพี เราไม่ต้องการแต่เรื่องเสื่อมๆ ชุ่ยๆ เท่านั้น...สันฝายเอ๊ย!!!


ส่วนใหญ่แล้วสันฝายเทอราพีจะมีผลอยู่ราวๆ หนึ่งอาทิตย์แล้วเราก็จะเกิดอาการลงแดง ปากซีดเหมือนคนอยากดมทินเนอร์ ที่ต้องการสิ่งที่คุ้นเคยเข้ามาเติมเต็ม แล้วเราก็จะหาทางโทรกลับไปหาเขาจนได้ ถึงแม้เราจะลบเบอร์โทรไปแล้วตาม


บางคนคุยกันดี ให้เราดีใจหลงคิดว่าที่ผ่านมาแค่เข้าใจผิดแต่คุยๆ ไปก็จะเกิดการติสท์แดก...เพราะเริ่มรู้สึกเค้าไม่เหมือนเดิมแล้ว...เค้าไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ เค้าทิ้งกูจริงๆ

อืม...ผีอำมั้ง ล้อกันเล่นมั้ง เขาคงไม่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่ดีๆ ก็โทรมาขอเลิกกับแกมั้ง
แล้วก็ไม่มีอะไรมากครับ อกหักอีกรอบ ง่อยแดกอีกที ก่อนระฆังจะหมดยกก็ได้แต่ซมซานหอบศพตัวเองมากองอยู่ที่มุมห้องกอดหมอนกัดชายเสื้อกระซิกๆ ร้องไห้สำลักขี้มูกอยู่คนเดียว


ช่วงนี้อย่าเพิ่งซ่าครับ ให้กบดานเก็บแรงเลียแผลตัวเองให้ดีก่อนครับ แผลยังสดอยู่ อย่าหาอะไรมาจี้แผลตัวเองเล่น พยายามเลี่ยงๆ ไว้ไม่ต้องเจอกันแหละดีที่สุด สำรวจเส้นทางก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ว่าระหว่างทางจะไปจ๊ะเอ๋กันรึเปล่า หลบหน้าให้เนียนเหมือนมันเป็นอิออนหรือบัตรเครดิตตามทวงหนี้ ถ้าหากสติสตังมาล้อว่าเราเป็นไอ้ขี้แพ้ก็อดทนครับ เราไม่ได้แพ้ ตอนนี้เราค่าล่าถอยไปตั้งหลักเท่านั้นเอง หลบไปเรื่อยๆ เลยครับ ไม่จำเป็น ไม่ต้องมาเจอกัน ให้เหมือนอยู่กันคนละภพไปเลยก็ดี แต่ถ้าต้อง เจอกัน จงทำตัวปกติในระดับเดียวกันลูกค้ากับเด็กเสิร์ฟกะเหรี่ยงร้านลูกชิ้นโกเด้ง พูดเท่าที่จำเป็น ตอบเท่าที่ถาม ด้วยการปฏิบัตตัว เย็นๆชาๆ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนประหลาด ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึกอัด ไม่สบายตัวเหมือนคล้ายกับยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อวาน


หากวันนึงเค้าเกิดโทรศัพท์เข้ามาหา จงระลึกไว้ครับ ว่าเราได้ทำประตูนำไปก่อนแล้ว...แสรดดด แล้วมึงก็ต้องโทรมาง้อกู...นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป...เสียใจว้อย ไม่ต้องไปต่อความยาวสาวความยืดครับ แต่ว่าเราจะมาโวยวายไก่กาปาทังก้าไม่ได้นะครับเดี๋ยวเสียลุคไฮโซหมด สิ่งที่ควรทำคือ...จงพูดเหมือนเค้าเป็นนี่เป็นการส่งคลื่นความถี่ต่ำให้เค้ารู้สึกว่า “อกหักขี้เม็ดอะไรนั่นทำอะไรกูไม่ได้ร๊อก”


เชื่อผมซิ หากทำได้อย่างนั้นจริงๆ ทันทีที่เราวางหูความรู้สึกเราจะเหมือนเรายืนเท้าสะเอวหัวเราะอยู่ริมผาที่มีคลื่นซัดใส่ในขณะที่อาทิตย์อัสดง...ว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า


อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เรายังต้องถอยล่ามาตั้งหลักรักษากำลังใจ เมื่อใดที่เราพบเห็นเค้าหรือมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บแปล๊บอยู่ แสดงว่าแผลยังไม่สนิทดี เรายังไม่พร้อมที่จะออกมาสู้กับมัน...ไม่เป็นไรคัรบกลับมารักษาใจเราต่อ...สันฝายเทอราพีกันต่อไป แล้ววันนึงอะไรๆ มันจะดีขึ้นเองครับบางคนใช้เวลาไม่นาน บางคนอาจเป็นเดือน บางคนอาจเป็นปีแล้วแต่สติและสภาพจิตใจของแต่ละคน เมื่อวันใดเรารู้สึกว่าเรื่องอกหักที่ผ่านๆ มา มันก็ไม่ได้แย่จนเกินไป แค่อยู่ในระดับเดียวกับโดนแท็กซี่เบี้ยวเงินทอน นั่นแปลว่า เราได้อัพเกรดเลเวลอัพฟื้นคืนพลังอย่างเต็มสูบแล้ว


และเมื่อถึงเวลาของมัน...จงอย่ากลัวที่จะพบเค้าอีกครั้ง


ไม่ต้องรักกันก็ได้ แค่ไม่เกลียดกันก็พอ

ความรักบางครั้งไม่ใช่การอดทนครับ หากเรารักเค้ามากป่านจะฉีกทวารดมแต่เค้าไม่ได้คิดแบบนั้น มันจะมีประโยชน์อะไร หากความรักที่ให้คนอื่นมันสร้างความทุกข์ให้ตัวเอง ...เราอยู่กับตัวเองหรืออยู่กับคนอื่นมากกว่ากัน?


กระจกที่เราส่องอยู่ทุกๆ วันก็ยังเห็นแต่ตัวเอง แล้วจะไปร้องไห้ทำพระแสงของ้าวอะไรครับ รักตัวเองดีกว่ามั้ย


ถ้าความรักทำให้โลกหมุนเหมือนที่มีคนบอกไว้ อกหักก็คงเป็นตัวควบคุมไม่ให้โลกหมุนเร็วเกินไป


มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกที่หมุนติ้วๆ ก็แค่เข้าใจในแรงเหวี่ยงของโลก มีสติ และหาที่ยืนอย่างสบายใจเท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น